Category

Beauty

Category
สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวเซรั่มปลาดาว Vivime ที่พี่สาวที่อ๊อฟเคารพนับถือ คร่ำหวอดอยู่ในวงการความงามส่งมาให้ลองใช้
เคยได้ยินผ่านหูมาเหมือนกันสำหรับ “เซรั่มปลาดาว” แต่ไม่เคยลองสักที วันนี้มีโอกาสได้ลอง เลยต้องขอลองสักหน่อย
พอลองมาสักพักใหญ่ๆ วันนี้เลยจะเล่าให้ฟัง ว่าใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง
Vivime เซรั่มปลาดาว 1 ในเทคโนโลยีล่าสุดจากประเทศเกาหลีใต้ ประกอบด้วยสารสกัดคอลลาเจนจากปลาดาวที่ดีที่สุด
สูงถึง 70%  ซึ่งจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้กับผิว พร้อมทั้งยังบำรุงให้ผิวเต่งตึง ลดรอยเหี่ยวย่น ให้ผิวดูเด็กลงอย่างรวดเร็ว
ตัวแพคเกจจิ้งเค้าทำออกมาได้ดีเลย สีสันของขวดสวยงามดูน่าใช้ ที่สำคัญเป็นหัวปั๊ม กดออกมาใช้งานง่าย

(ผลิตภัณฑ์ไม่ใช่ขวดแก้วนะคะ อ๊อฟเผลอทำตก ตกใจแทบแย่ ดีนะไม่แตกไม่งั้นเสียดายครีมแย่)

ตัวเนื้อเซรั่มมีสีขาวใส ค่อนข้างข้นนะคะ ไม่ได้เหลวเป็นน้ำ แถมมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อีกด้วย

(ราคา 1,290)

พูดถึงเรื่องการซึมซาบสู่ผิว ถือว่าทำได้ดีเลย ตอนยังไม่แห้งสนิท มันจะมีความหนึบๆ ที่ผิวเล็กน้อย
แต่พอแห้งแล้วผิวจะดูเนียนๆ ลื่นๆ น่าจับมาก (ไม่ได้ใช้เวลานานมากนะคะ)

หลังจากทดลองใช้มาพักใหญ่ เรื่องริ้วรอยอ๊อฟว่ายังคงต้องใช้เวลา แต่เรื่องความชุ่มชื้นของผิวทำได้ดีเลย
ผิวดูตึงกระชับขึ้น สำหรับใครที่สนใจลองเข้าไปดูที่เวปไซต์หลังของเค้าเนอะ ลองเสิร์ช เซรั่มปลาดาว Vivime ก็เจอค่ะ
สวัสดีค่ะ blog นี้เกิดขึ้นมาจากแฟนเพจที่มีการเรียกร้องเข้ามากันมาก ว่าอยากดูสกินแคร์ที่อ๊อฟใช้
บางคนไม่เชื่อว่าอ๊อฟอายุ 32 แล้วจริงๆ ทำไมหน้ายังดูเด็กอยู่ วันนี้อ๊อฟเลยเอาสกินแคร์ที่อ๊อฟใช้อยู่เป็นประจำ
มารีวิวให้ทุกคนได้ดูกัน แต่ก่อนที่จะไปดูรีวิว เอาหน้าสดของสาววัย 32 มาฝากกันก่อนเนอะ

อ๊อฟเป็นคนผิวผสมค่ะ ผิวค่อนข้างแห้งเป็นบางจุด ผิวตัวจะแห้งมากกว่าผิวหน้า รูขุมขนช่วงจมูกจะกว้าง
เพราะชอบบีบสิวเสี้ยน รอยดำรอยแดงจากสิวไม่ค่อยมี เป็นคนที่สิวขึ้นน้อยมาก จะขึ้นช่วงเป็นประจำเดือนเม็ดสองเม็ด
แพ้น้ำบาดาลถ้าต้องออกไปตจว. สิวผดจะชอบขึ้นบริเวณแก้มและหน้าผาก เป็นคนที่แพ้อะไรน้อยมาก
หลักๆ ปัญหาผิวของอ๊อฟจะเป็นผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น และมีรอยคล้ำใต้ตา ผิวหมองคล้ำไม่กระจ่างใส
วันนี้อ๊อฟเลยรวบรวมเอาสกินแคร์ที่ใช้อยู่แล้วได้ผลดีมาฝากกันค่ะ
เริ่มกันที่ CUREL MAKE UP CLEANSING GEL หลังจากที่อ๊อฟเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางเสร็จแล้ว
อ๊อฟจะใช้คลีนซิ่งตัวนี้ทำความสะอาดหน้าอีกที เป็นคลีนซิ่งที่เหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายหรือคนที่มีผิวหน้าแห้ง
เนื้อเจลไม่หนืดเกินไป เจลจะเปลี่ยนเป็นน้ำนมล้างออกง่าย ไม่ทิ้งความมัน ล้างหน้าเสร็จผิวนุ่มไม่แห้งตึง
และยังคงให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดีมาก แบรนด์นี้มีครีมอีกหลายตัวที่ใช้ดีด้วยนะ
มาต่อที่ครีมกันแดด อันแรกของ Mizumi  UV Water Serum 100% Non-Chemical SPF50+ PA+++
เป็นครีมกันแดดลูกรักเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ใช้ง่ายไม่แพ้ ไม่อุดตัน
เนื้อกันแดดบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ จึงเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรามาก ข้อเสียคือ ราคาสูงไปหน่อย
อีกตัวที่ชอบมากเป็นของ Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ ครีมกันแดดบีโอเรเป็นอีกแบรนด์
ที่ใช้มาตลอดเพราะราคาไม่แพงแต่คุณภาพดี ตัวสูตรใหม่ คือดีมาก เนื้อเอสเซนส์ทาง่าย สบายผิว กันแดดได้ดี

มากันที่เซรั่ม อ๊อฟใช้จะเป็นของ DR.WU  INTENSIVE RENEWEL SERUM WITH MANDELIC ACID 18%
มันเป็นกรดที่สกัดได้จากอัลมอนด์อะไรทำนองนั้น เป็นสกินแคร์จากประเทศไต้หวัน แต่มันได้ผลดีมากนะ
 เป็นเซรั่มที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว สร้างเซลล์ผิวใหม่ให้แข็งแรงขึ้น  ไม่ทำให้ผิวบางลง
ช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้ใบหน้าขาวกระจ่างใส อ๊อฟใช้แล้วรู้สึกผิวแข็งแรงมากขึ้นกว่าเก่า
ตัวนี้อ๊อฟจะใช้แค่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ตอนกลางคืนหลังล้างหน้าเสร็จเท่านั้นค่ะ
ตัวนี้ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะเป็นเอสเซนส์ที่ถูกและได้ผลดีมากเช่นกันสำหรับ ZA TRUE WHITE ESSENCE LOTION
เป็นเอสเซนส์ที่ช่วยเรื่องความขาวกระจ่างใสได้ดีมากกกก ช่วงที่โดนแดดจัดๆ แล้วหน้าหมองคล้ำ
โดยเฉพาะหน้าผากนี่ดำไวกว่าตรงอื่น ใช้ตัวนี้แล้วผิวกลับมาขาวไวมาก เนื้อเอสเซนส์ซึมซาบไว
ไม่เหนียวเหนอะหนะ แถมยังทำให้ผิวชุ่มชื้นอีกด้วย
ตัวนี้ไม่มีไม่ได้สำหรับ Biotherm Life PlanktonTM Essence น้ำตบแพลงตอนชื่อดัง ตัวนี้ช่วยลดการอักเสบของผิวได้ดีมาก
เวลาที่หน้าเกิดไปแพ้อะไรมา เป็นผดผื่นหรือมีรอยแดงๆ  อ๊อฟจะใช้ตัวนี้ตบๆ เข้าไป ไม่กี่วันพวกรอยแดงก็จางลง
หรือผิวที่อักเสบก็หายไวขึ้น ใช้จนหมดขวดที่ 2 แล้ว ยังไงก็ต้องไปซื้อเพิ่ม ราคาสูงแต่คุ้มค่าแก่การลงทุนมาก
ผลลัพธ์นอกจากช่วยลดการอักเสบแล้ว ยังช่วยให้ผิวอิ่มฟู เด้ง ผิวละเอียด รูขุมขนเล็กและริ้วรอยตื้นขึ้น
มาถึงสกินแคร์ฝั่งเกาหลีบ้าง INNISFREE Green Tea Seed Serum  สำหรับอ๊อฟตัวนี้เป็นเซรั่มที่ช่วยบำรุงผิว
ในเรื่องของความชุ่มชื่นมากกว่า อ๊อฟจะใช้ตัวนี้บำรุงหรือทาตอนก่อนแต่งหน้า ด้วยความที่เนื้อเซรั่มมันบางเบา
ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทำให้หน้ามัน บวกกับกลิ่นที่ดูเป็นธรรมชาติจึงรู้สึกผ่อนคลายเวลาทาตัวนี้
ตัวเด็ดสำหรับคนผิวแห้งอ๊อฟยกให้ตัวนี้เลย Clinique Moisture Surge ช่วยเติมน้ำให้ผิวได้ดีมากกกก
อ๊อฟเป็นคนผิวแห้งพอใช้ตัวนี้หน้าไม่แห้งไม่เป็นขุยเลย ผิวดูเต่งตึง ดูอิ่มดูฟู ดูสุขภาพดี ไม่รู้จะบรรยายยังไง
เอาเป็นว่าใช้แล้วชอบใช้แล้วดีเลยต้องซื้อเพิ่มอีกกระปุก
มาถึงสเปรย์น้ำแร่กันบ้าง อ๊อฟใช้ของ OGUMA ตัวนี้มันดีมาก หยิบเอามารีวิวบ่อยมาก ไม่ใช่แค่ช่วยเพิ่มความสดชื่น
หรือความชุ่มชื่นกับผิวอย่างเดียว ยังช่วยให้สิวผดเล็กๆ ยุบลงด้วยนะ ยิ่งตอนที่กลับมาจากตจว. แล้วแพ้น้ำ
ฉีดอัดเข้าไป หายไวมาก อันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนนะคะ แต่สำหรับอ๊อฟมันเห็นผลจริง
มาต่อกันที่เคล็ดลับหน้าเด็ก คือ มาส์กชีท นั่นเอง อ๊อฟไม่ได้เน้นมาส์กชีทยี่ห้อไหนเป็นพิเศษนะคะ
เป็นคนที่ใช้มาส์กได้แทบทุกยี่ห้อ  ชอบซื้อเวลามีสูตรอะไรใหม่ๆ หลักๆ สูตรที่ชอบใช้คือ ช่วยบำรุงให้ความชุ่มชื่นและลดริ้วรอย
มาส์กวันเว้นวันเลยทีเดียว บางทีก็มาส์กตอนนั่งรถกลับบ้าน มาส์กวันละแค่ 15 นาที วันไหนที่ขี้เกียจทาครีมบำรุงผิว
อ๊อฟก็จะใช้มาส์กนี่แหละ แทนการบำรุง มาส์กบ่อยๆ มาส์กเป็นประจำอ๊อฟว่าช่วยบำรุงผิวได้มากเลย
มาต่อกันที่เรื่องของปากกันบ้าง  Laneige lip sleeping mask ตัวนี้เป็นมาส์กริมฝีปากที่ได้ผลดีมาก ปากแห้ง ปากแตก
ปากพัง มาส์กก่อนนอน โบกหนาๆ ทิ้งไว้ได้เลย ตื่นขึ้นมาแทบหายเป็นปลิดทิ้ง ปากเนียนนุ่มน่าจุ๊บมากกกก…ควรมี!!
 มาถึง สีผึ้งแม่เลียบ ตัวดังแห่งโต๊ะเครื่องแป้ง ตัวนี้ช่วยในเรื่องของปากอมชมพู ถูกแสนถูกเพียงแค่ 20 บาท
ไม่ได้ใช้แล้วแบบชมพูเว่อร์นะ มันชมพูแบบสุขภาพดี ดูเป็นธรรมชาติ ถ้าคนที่ปากคล้ำๆ จะดีขึ้น แต่ข้อเสีย คือ
ทาก่อนนอนจะหลอนมาก เพราะกลิ่นมันเหมือนน้ำอบ อ๊อฟเป็นคนชอบอ่านเรื่องผีก่อนนอน เวลาทาตัวนี้ก็จะหลอนๆ หน่อย
ต่อมาเป็นลิปบาล์มมะพร้าว COCOS Coconut Balm ลิปบาล์มมะพร้าว (สีขาว) ตัวนี้ไว้พกติดกระเป๋าเครื่องสำอางไว้ตลอด
มีกับแฟนคนละตลับ เพราะเป็นคนชอบกลิ่นหอมของมะพร้าว ใช้ทาบำรุงริมฝีปากก่อนทาลิปสติก
ตัวนี้ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนเราทาวาสลีน ทาแล้วทำให้ริมฝีปากไม่แห้ง เวลาทาลิปจึงไม่ค่อยตกร่อง
อีกตัวเป็น Cocos Charcoal Scrub ลิปสครับที่มีส่วนผสมของชาร์โคล ตัวนี้ใช้สครับริมฝีปาก ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
ช่วยให้ปากที่แตกหรือแห้งเป็นขุยเนียนนุ่มขึ้น อ๊อฟใช้สครับอาทิตย์ละ 2 ครั้งค่ะ เวลาสครับจะใช้แค่นิ้วถูๆ วนๆ แค่นั้นเอง
แต่ถ้าปากแห้งมาก จะใช้แปรงสีฟันช่วยถูเบาๆ เอาเป็นว่าแพ้ของดำเลยชอบตัวนี้ 555
Lucas’ Papaw Ointment บาล์มมะละกอสารพัดประโยชน์ นอกจากจะเอามาทาปากแล้ว อ๊อฟยังชอบเอามาทาผิวเวลา
ผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย เวลาผิวแตกมันจะมีอาการคันๆ อ๊อฟจะหยิบตัวนี้มาป้าย ที่สำคัญทาข้อศอก เข่าและตาตุ่มด้านๆ ได้อีกด้วย
เรียกได้ว่าทาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า คือมันดีย์มากกกก คุ้มค่าที่จะซื้อไว้ใช้
เรื่องของจ๊กกุแร้ เห็นอย่างนี้ก็มีช่วงเวลาที่เต่าเหม็นเหมือนกันนะ เป็นคนที่ใช้โรลออนแล้วเอาไม่อยู่
กลิ่นเต่าตีกับโรลออนผสมออกมาเวียนหัวมาก ปัญหาจบเพราะ เต่าเหยียบโลก นี่แหละ โปะๆ ทาๆ เข้าไปในจุ๊กกุแร้
ทั้งวันกลิ่นยังไม่ออกเลย ถูกและดีไปอีก ข้อเสียคือ ทาแล้วเหมือนเด็กเอาแป้งทารักแร้นี่แหละ เลอะติดเสื้อผ้าเต็มไปหมด
เรื่องของตัว บอกแล้วว่าเป็นคนผิวแห้งมาก มากแบบมากจนเป็นเกล็ดเลย ทาครีม ทาอะไรก็ไม่ ก็เอาไม่อยู่
หลังอาบน้ำตัวชุ่มๆ ต้องชโลมด้วย Bio-Oil ทันที ใช้แล้วชีวิตดีขึ้นมาก ผิวชุ่มชื่นขึ้นเยอะเลย
ช่วงเอวที่แสบๆ คันๆ เพราะผิวแห้งแตกเบาลงมาก ส่วนเรื่องรอยแตกอ๊อฟว่าต้องใช้เวลาอีกนานเลยค่ะ
หลังจากนั้นต้องโบกด้วยโลชั่นของ JerGens เท่านั้น เจอร์เก้นส์เป็นยี่ห้อเดียวที่เอาผิวแห้งแตก เป็นขุย เป็นเกล็ดอยู่
เพราะเนื้อครีมมีความเข้มข้นมาก ยิ่งสูตรที่เหมาะสำหรับผิวแห้งนะ ข้นคั่กเลย ทาแล้วจะเหนอะหนะผิวมาก
ไม่เหมาะกับคนที่ชอบอยู่ outdoor หรือไม่ได้อยู่ห้องแอร์ ไม่งั้นมีเยิ้มมีรำคาญผิวแน่นอน ใครผิวแห้งต้องมีตัวนี้ติดไว้นะ
ว่าด้วยเรื่องของการขัดผิว สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่ใช้ขัดผิวมาตลอด จากเด็กดำๆ คล้ำๆ ผิวก็ขาวใสขึ้น
ไม่ได้ขาวแบบคนขาวนะคะ เพราะอ๊อฟเป็นคนผิวสองสี แต่ขาวขึ้นกว่าเก่าเยอะมาก
แต่ก่อนใช้ยี่ห้อมะขามพะเยา เดี๋ยวนี้หาเจอแต่ตราแม่แสงดี แต่พอใช้แล้วอ๊อฟว่าคล้ายกัน
เป็นมะขามขัดผิวที่เค้าผสมมาให้เสร็จเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น ขมิ้นเอย ไพรเอย นมสดเอย อะไรทำนองนี้
ไม่ต้องมานั่งผสมเองเหมือนเมื่อก่อน ใช้ขัดกับใยบวบอาทิตย์ละ 2 ครั้งก่อนนอน และควรหลีกเลี่ยงแสงแดด
ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ผิวจะขาวใสขึ้น สมุนไพรไทยดีที่สุด
เรื่องของมือกันบ้าง อ๊อฟเป็นผู้หญิงที่มือแห้งและหยาบมาก Hand Cream ธรรมดาเอาไม่อยู่
เลยต้องใช้ตัวนี้ของ Shiseido UREA 10% CREAM เป็นยูเรียครีมเข้มข้นที่ช่วยลดความแห้ง ความหยาบกร้านของผิว

เอาไว้ทามือ ทาเล็บ ทาส้นเท้าก่อนนอน ใช้แล้วผิวนุ่มขึ้นเยอะมาก คนผิวแห้งมากๆ ควรมีติดเอาไว้สักกระปุก

พอบำรุงผิวดี การแต่งหน้าก็เป็นเรื่องง่ายขึ้น สำหรับวันนี้ต้องลากันไปก่อนนะคะ
สกินแคร์ที่อ๊อฟใช้อาจจะไม่ได้ดีและเวิร์คสำหรับทุกคน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไป
ดังนั้นเลือกใช้ให้เหมาะกับตัวเองดีที่สุดไม่จำเป็นต้องแพง ถ้าใช้แบบไหนแล้วเหมาะได้ผลดีกับตัวเอง
นั่น คือ คุ้มค่าและได้ผลดีที่สุดแล้ว
ใครบอกประเทศไทยมีฤดูร้อน ฝน หนาว อ๊อฟขอเถียงขาดใจ บ้านเรามีแค่ฤดูร้อน ร้อนมาก และ ร้อนม๊ากมาก
แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่เดือนเมษา แต่แดดบ้านเราก็แผดเผาจนแทบจะละลายแล้ว หรือต่อให้อากาศจะเย็นลง
หรือเข้าสู่ฤดูหนาว (ที่หนาวได้แค่ 3 วัน) การยืนอยู่ในที่ร่ม นั่งทำงานในออฟฟิศ หรืออยู่บนถนน
เราก็ยังได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีในแสงแดดอยู่ดี เพราะฉะนั้นนอกจากจะใส่เสื้อผ้าที่ป้องกัน
แสงแดด กางร่มและใส่หมวกแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้และควรให้ความสำคัญนั่นก็คือ “ครีมกันแดด” นั่นเอง

เมื่อผิวของเราได้รับแสงแดดโดยเฉพาะแสงแดดที่แรงมาก ๆ อย่างรังสี UVB เซลล์ผิวหนังของเรา
ก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำและดำขึ้น บางคนอาจเกิดปัญหาฝ้า กระ ตามมา
นอกจากนี้แสงแดดยังมีรังสี UVA ที่จะเข้าไปทำร้ายคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวของเราแห้งกร้าน
เกิดริ้วรอยผิวหนังเหี่ยวย่นหรือดูแก่ก่อนวัยอันควรอีกด้วย

ดังนั้นการทา ” ครีมกันแดด “ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

และแน่นอนว่าพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่รีวิวครีมกันแดดได้ยังไงเนอะ
ต้องบอกเลยว่า บีโอเรเป็นครีมกันแดดที่อ๊อฟใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว และตอนนี้ทางบีโอเรเค้าก็มี
สูตรใหม่ Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++  นวัตกรรมกันแดดกันแก่ขั้นสุด
ล่าสุดจากญี่ปุ่น กันแดดสูตรน้ำเนื้อบางเบาพิเศษ กันน้ำ กันเหงื่อ และเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องสูงสุด
ให้กันแดดติดทน ปกป้องลึกถึงคอลลาเจน ที่พร้อมให้อ๊อฟออกไปเผชิญแดดแบบไม่กลัวแก่ ไม่แคร์แดด
 15 กรัม ราคา 129.00 บาท
50 กรัม ราคา 420.00 บาท
85 กรัม ราคา  650.00 บาท
Strong UVA/UVB Block
ไม่กลัวแก่  ไม่แคร์แดด ด้วย  PA++++ ให้การปกป้อง UVA สูงสุด ไม่ให้ทำร้ายคอลลาเจน ผิวไม่แก่ก่อนวัย
ผิวไบร์ท ไม่หมองคล้ำ ด้วย  SPF50+ ปกป้อง UVB สูงสุด สาเหตุของผิวคล้ำเสีย และฝ้า กระ จุดด่างดำ
Very Water Resistance
ปกป้องผิวได้ต่อเนื่องและยาวนาน ด้วยสูตรพิเศษ กันน้ำ กันเหงื่อ
Watery Hydrate Essence
 ผิวสัมผัสที่ทุกคนชื่นชอบ ด้วยเนื้อเอสเซ้นส์ สูตรน้ำ บางเบาพิเศษ ซึมเร็ว

ผสานคุณค่าการบำรุงให้ผิวชุ่มชื่นด้วย Hyaluronic Acid, Royal Jelly Extract (สารสกัดนมผึ้ง) และ Mixed Citrus

กันแดดเป็นเนื้อเอสเซ้นส์ เนื้อบางเบา ซึมลงสู่ผิวไวมาก ที่สำคัญไม่ทำให้ผิวเหนอะหนะอีกด้วย

ด้วยความที่เนื้อเอสเซ้นส์บางเบามาก…มากจนสามารถทาทับเมคอัพระหว่างวันได้เลย
แถมเมคอัพเดิมของอ๊อฟที่แต่งมาก็ไม่ลบ ไม่ด่างและไม่เป็นคราบเลย…ฮือออ มันดีอ่าาาา
(ไม่มีครีมกันแดดยี่ห้อใดที่สามารถป้องกันรังสียูวีได้ 100% หรือป้องกันแสงแดดได้ทั้งวัน
ดังนั้นการทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง จึงเป็นสิ่งสำคัญ)
วันนี้อ๊อฟเลยจะมาเปรียบเทียบระหว่าง Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++
กับครีมกันแดดแบรนด์ชั้นนำทั่วไปที่เราใช้อยู่เป็นประจำ ซึ่งมีเนื้อบางเบาและค่า SPF เท่ากัน
อ๊อฟจะทาครีมกันแดด Biore UV Watery Essence ที่แขนข้างซ้าย
และทาทับบนแผ่น Smart Sun ที่คาดไว้บนข้อมือด้วยค่ะ

(Smart Sun สายรัดข้อมืออัจฉริยะ ช่วยเตือนผิวจากแสงแดด)

ส่วนอีกข้างเป็นครีมกันแดดตามท้องตลาดทั่วไป อ๊อฟจะทาที่แขนข้างขวาเช่นเดียวกันค่ะ

หลังจากนั้นได้เวลาลงน้ำแล้วววว…ขอทดสอบประสิทธิภาพของการกันน้ำหน่อยซิว่ากันน้ำได้ดีแค่ไหน

แน่นอนว่าเด็กเมื่อได้ลงน้ำแล้ว มีหรอจะขึ้นง่ายๆ จ้างให้ก็ยังไม่ขึ้นหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า
อากาศร้อน ๆ แบบนี้ขอดื่มน้ำมะพร้าวหน่อยเนอะ…ชื่นจายยย

แผ่น smart sun ข้างที่ทาบีโอเรยังคงไม่เปลี่ยนสี แสดงว่ากันแดดคงทนจริงๆ
และแล้วก็ครบ1 ชม. แต่เป็น 1 ชั่วโมงที่เจอทั้งแดดทั้งน้ำ แต่ถ้าสังเกตุ
สีของแผ่น smart sun ที่ข้อมือจะเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างเกิดขึ้นกันอยู่เหมือนกันนะ

บางคนอาจจะเห็นไม่ชัดหรือมองแล้วไม่เห็นความแตกต่าง
อ๊อฟเลยถอดสายข้อมือ Smart sun มาถ่ายแบบใกล้ๆ ให้ดูค่ะ

” จะเห็นได้ว่าข้างที่ทาครีมกันแดดบีโอเรบนแผ่น smart sun เริ่มเปลี่ยนเป็นสีครีมเพียงแค่เล็กน้อย

(ไม่รู้ว่าทาครีมไม่ทั่วหรือเปล่า ^ ^) ส่วนอีกข้างที่เป็นครีมกันแดดแบรนด์ชั้นนำทั่วไป

สีเปลี่ยนทั้งแถบ เริ่มเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีครีม สีครีมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู 

 นั่นหมายถึงว่า ประสิทธิภาพกันแดดลดลงต้องทาครีมกันแดดเพิ่มและควรหลีกเลี่ยงแสงแดด “

หลังจากที่ตากแดดเล่นน้ำและทดลองใช้  Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ 
ต้องบอกเลยว่าชอบสูตรใหม่ตัวนี้มาก คุมมันได้ดีพอสมควร แถมทาทับเมคอัพได้อีก
จะเติมกันแดดระหว่างวันหน้าก็ไม่เป็นคราบ ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ สบายผิวมาก
แถมประสิทธิภาพกันแดดยังดีเยี่ยมและติดทนนานอีกด้วย
พร้อมให้อ๊อฟกล้าออกไปเผชิญแดดแบบไม่กลัวแก่ ไม่แคร์แดด อีกต่อไปค่ะ
ทั้งนี้อย่าลืมให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ครีมกันแดด ทาหน้า ทาตัว แล้วอย่าลืมทาคอด้วยนะคะ

” ใครไม่ทาครีมกันแดดหน้าเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะ…เออ “

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟมีสวอชและรีวิวบลัชออนของ 4U2 LOVE ME MORE BLUSH มาฝากค่ะ
จริงๆ ทางแบรนด์เค้าก็ออกมาสักพักนึงแล้ว และอ๊อฟก็ได้มาทั้งหมด 20 สี ซึ่งจะบอกว่ามันเป็นอะไรที่น่ารักมาก
มีทั้งสูตรแมตต์ และชิมเมอร์  ทางแบรนด์เค้าบอกว่าครั้งนี้มากับสูตรใหม่ที่ไม่เหมือนทุกตัวที่เคยมีมา
เนื้อบลัชออนเนียนนุ่มละเอียดและเม็ดสีชัดสุด ครอบคลุมทุกสีผิว ทุกสไตล์ของผู้หญิง
ใช้ทุกวันเลย ตลับก็น่ารัก สีก็สวย แถมราคาก็ถูกมากๆ อีกด้วย เพียงแค่ 179 บาท
วันนี้อ๊อฟเลยเลือกสีที่ชอบที่สุดและบางตัวเป็นสีที่ขายดีมากที่สุดเช่นกันมาแต่งหน้าให้ดูกันค่ะ
ว่าจะออกมาเป็นประมาณไหน พร้อมแล้วไปดูกันเล๊ยยย
มาเริ่มกันที่สีแรก ที่อ๊อฟชอบมาก ปัดจนลายของบลัชออนเลือนไปเลย นั่นก็คือ สี S1 : YOU LOVE ME

เป็นบลัชออนที่มีประกายชิมเมอร์เล็กๆ สีม่วงอมชมพูตุ่นๆ เป็นโทนสีที่สุภาพแต่ปัดออกมาก็ดูหวานดี

สีต่อมา สีนี้ก็สวยมากกก เป็นสียอดฮิตของใครหลายคน S8 : YOU DREAM ABOUT ME
ตัวนี้เป็นบลัชออนโทนส้มที่มีประกายชิมเมอร์สีทอง ปัดออกมาแล้วสดใสมากกก

ต่อมาเป็นสี S4 : YOU KNOW ME เป็นโทนสีแดงอมส้ม ในรูปอ๊อฟว่าไฟอาจจะทำให้สีเพี๊ยนไปหน่อย

ของจริงมันจะแดงอมส้มมีชิมเมอร์วิ๊งๆ ประกายเล็กๆ สีทอง ปัดออกมาดูเด็กเลยทีเดียว

ต่อมาเป็นโทนสีน้ำตาล M0 : I FANCY YOU สีนี้เป็นสีน้ำตาลเนื้อแมตต์ ที่สวยมากเว่อร์

แต่งลุคน้ำตาลๆ แล้วปัด เติมกระนิดๆ น่ารักมากกกก นอกจากจะปัดแก้มแล้ว ตัวนี้ยังเอามาคอนทัวร์ได้อีกด้วย

สีสุดท้าย S0 : YOU FANCY ME ซึ่งเป็นโทนสีน้ำตาลเหมือนกันแต่มีชิมเมอร์เล็ก ๆ

ตัวนี้ปัดออกมาแล้วดู sexy มาก แต่งสีผิวแบบแทนๆ ยิ่งปัดยิ่งขับผิว เลิฟสุดๆ
พิเศษ สี Exclusive มีวางขายเฉพาะที่ร้าน @EVEANDBOY  4 สี ดังนี้ 
#M2 I MISS YOU
#M8 I DREAM ABOUT YOU
#S5 YOU ADORE ME
#S6 YOU WANT ME

https://www.facebook.com/4u2osmetics

สวัสดีค่ะ ไม่ได้ทำฮาวทูมานานมาก ส่วนมากจะอ๊อฟจะทำรีวิวสอนถ่ายรูปโน่นนั่นนี่มากกว่า
จนมีลูกเพจเรียกร้องอยากจะดูวิธีการแต่งหน้า ว่าแต่งยังไง แต่งแบบไหน ถึงถ่ายถ่ายรูปออกมาสวยเป๊ะ
วันนี้อ๊อฟเลยจะมาแชร์เทคนิคการแต่งหน้าและดูแลผิวเล็กๆ น้อยๆ ที่อ๊อฟใช้อยู่มาฝากกันค่ะ

ขั้นตอนแรกเลย การที่จะแต่งหน้าให้ติดทน ให้ผิวออกมาสวยนั้น สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ ” การบำรุงผิว “
นอกจากทาครีมบำรุงผิวโน่นนั่นนี่เสร็จแล้ว สำหรับอ๊อฟเคล็ดลับก่อนแต่งหน้าอ๊อฟจะเติมน้ำให้ผิว
หรือพยายามทำให้ผิวมีความชุ่มชื่นมากที่สุด วิธีของอ๊อฟที่ใช้เป็นประจำคือ การมาส์กหน้าค่ะ
สูตรที่ใช้ก็จะเป็นพวกเพิ่มความชุ่มชื้นเพื่อให้ผิวดูชุ่มฉ่ำ เปล่งปลั่งและดูสุขภาพดี

หลังจากมาส์กหน้าเสร็จผิวของเราจะฟูๆ เต่งๆ ดูอิ่มน้ำขึ้นมาทันที
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทำเป็นประจำสม่ำเสมอด้วยนะคะ
ไม่อยากจะบอกเลยว่านี่คือผิวของคนอายุ 32 แต่บอกซักหน่อยเนอะ 555

หลังจากนั้นอ๊อฟจะใช้ UrbanDecay Quick Fix Spray Hydra-Charged Complexion Prep Priming Spray
ตัวนี้ใช้ปรับสมดุลให้กับผิว ช่วยเสริมความชุ่มชื้น บำรุงผิวให้กระจ่างใสและเรียบเนียนก่อนแต่งหน้า

เพื่อความรวดเร็วในการแต่งหน้าวันนี้ อ๊อฟเลือกใช้คุชชั่นของแบรนด์ FIIT Everyday Cushion
จริงๆ อ๊อฟเห็นมันมีหลายสูตรนะ แต่เพื่อผิวสวยเวลาจะถ่ายรูป อ๊อฟชอบให้ผิวมันดูโกลวๆ ฉ่ำๆ
เลยเลือกสูตร Healthy Glow มาค่ะ ตัวนี้เค้ามี SPF50+ PA+++ อีกด้วย

เบอร์ที่อ๊อฟใช้เป็นเบอร์ 02 Chou Cream เหมาะสำหรับผิวขาวโทนเหลือง ปกติจะไม่ค่อยชอบใช้คุชชั่น
เพราะสีของคุชชั่นไม่ค่อยตรงกับผิว มีแต่สีขาว ซึ่งทาแล้วหน้าลอยมาก แต่ยี่ห้อนี้คือดี ที่มีสีตรงกับผิว
และเนื้อคุชชั่นก็ดีเกินคาด เลยเลือกใช้แทนรองพื้นเพราะให้ผิวที่โกลวสวย ถ่ายรูปออกมาแล้ว
ดูเนียนเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญสามารถพกไปเติมได้ระหว่างวันอีกด้วย

ตัวนี้ระดับความปกปิดปานกลาง ถ้าอยากให้หนาก็ค่อยๆ เพิ่มเลเยอร์ไปทีละชั้นค่ะ อย่างใต้ตาอ๊อฟ
ต้องการการปกปิดมากหน่อยก็จะค่อยๆ tap ไปเรื่อยๆ ใช้นิ้วเกลี่ยๆ ตบๆ เข้าไปค่ะ
จะเห็นว่าข้างที่ยังไม่ได้ทาผิวจะยังไม่เนียนเรียบ มีรอยคล้ำและรอยช้ำของใต้ตาอยู่
แต่ถ้าใครใต้ตาหนักจริงๆ แนะนำว่าควรใช้คอนซีลเลอร์ในการปกปิดค่ะ

หลังทาเสร็จก็จะได้ผิวแบบโกลวๆ แต่ไม่ได้โกลวมากจนหน้าเมือก หรือหน้าวาวจนเกินไปนะคะ
มันกำลังพอดีไม่แมตต์ ไม่ด้าน ไม่แห้ง ดูผิวสวยดีค่ะ

หลังจากนั้นใช้ดินสอเขียนคิ้ว อ๊อฟเลือกใช้ของแบรนด์ Guzzo Makeup รุ่น Sexy Duo
เนื้อดินสอนิ่มเขียนง่าย ตัวนี้เป็นดินสอเขียนคิ้วสองฝั่ง ด้านนึงเข้ม ด้านนึงอ่อน
สะดวกเวลาใช้ สีเข้มเขียนช่วงกลางถึงหางคิ้วส่วนสีอ่อนระบายช่วงหัวคิ้ว
หลังจากนั้นใช้แปรงปัดให้เข้ากันจะได้ดูเป็นธรรมชาติค่ะ

และพาเลทที่อ๊อฟเลือกใช้วันนี้เป็นของ The Balm มีชื่อว่า In The Balm Of Your Hand  Vol.02
ชอบพาเลทนี้มากเพราะมีครบทุกอย่าง ตา แก้ม ไฮไลท์ เฉดดิ้ง มีครบ แทบจะจบในพาเลทเดียวเลย
และโทนสียังละมุน สวยหวานแต่งเป็น everyday look ได้อีกด้วย
 ขั้นตอนการแต่งตาก็ไม่อยากเลยค่ะ ใช้สีเบอร์ 1 ที่อ๊อฟวงกลมไว้ให้ทาทั่วเปลือกตา

หลังจากนั้นใช้สีที่อ๊อฟวงกลมไว้เบอร์ 2 คัดเบ้าช่วงหางตาแล้วใช้แปรงเบลนให้สีฟุ้งๆ

หลังจากนั้นกรีดอายไลเนอร์ อ๊อฟใช้ของ Wynn Me Cosmic Eyeliner อายไลเนอร์หัวพู่กัน
สีดำสนิทตัวนี้กรีดง่ายมาก หลังจากนั้นติดขนตาปลอมให้ดวงตาดูหวานมากขึ้น

และขนตาปลอมที่อ๊อฟเลือกมาติดวันนี้คือ ของ  Blogger สาวสวยน้องคำคุณ KhumkhunDreamer นั่นเอง
เป็นขนตาปลอมที่ติดออกมาแล้วสวยมาก ติดง่าย แกนไม่บาดตา สวยอะ อันนี้แนะนำ อ๊อฟติดเบอร์ 04 ค่ะ

มาต่อกันที่การเฉดดิ้งกรอบหน้า จริงๆ แล้วเวลาถ่ายรูปถ้าไม่อยากให้หน้าแป้นหรือหน้าแบนจนเกินไป
เราควรสร้างมิติให้กับใบหน้าค่ะ นั่นก็คือ การเฉดดิ้งและไฮไลท์ นั่นเอง ตรงไหนที่เราอยากให้หุบเข้าไป
อยากให้เล็กก็เฉดดิ้งเลยค่ะ ฟาดเข้าไปของอ๊อฟเลือกเฉดตามกรอบหน้า แนวกราม หน้าผากและสันจมูกค่ะ

หลังจากนั้นดูดปากให้แก้มตอบๆ แบบนี้แล้วใช้แปรงปัดวนไปค่ะ ปัดให้มันเนียนกลืนไปกับผิว

หลังจากเราเฉดดิ้งเสร็จเราจะเห็นว่าใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น ไม่แป้นแล้ว ซึ่งจะทำให้การถ่ายรูปออกมาสวยมากกก

มาถึงการปัดแก้มกันบ้างอ๊อฟเลือกใช้ทั้งหมด 3 สี เลยค่ะ เบอร์ 1 ปัดด้านในสุด ปัดเฉียงขึ้นไปแนวขมับ
เบอร์ 2 ปัดต่ำลงมาเป็นแนวเฉียงค่ะ และ เบอร์ 3 สีชมพูอ่อน ปัดบริเวณใต้ตาจนไปถึงหน้าแก้มค่ะ

หลังจากนั้นปัดวนไปเป็นแนววงกลม ปัดเบาๆ ไม่ต้องปัดหนักมือค่ะ ให้สีมันกระจายออกเป็นแนวกว้าง
ไม่เป็นขอบชัด จะได้ออกมาพวงแก้มออกมาดูธรรมชาติค่ะ

หลังจากนั้นปัดไฮไลท์จากพาเลทเดิมไปตามโหนกแก้ม สันจมูกหรือบริเวณที่กระทบแสงค่ะ
เวลาออกไปถ่ายข้างนอกเวลาโดนแสงจะได้ดูผิวสวยๆ หลังจากนั้นทาลิปสติกแบบจิ้มจุ่ม
สีแดงเข้มๆ แตะแค่ด้านในริมฝีปาก แล้วใช้นิ้วเกลี่ย เบลนให้ทั่ว สีจะออกมาดูเป็นธรรมชาติ

และนี่ก็คือ ลุคที่อ๊อฟชอบแต่งเวลาออกไปถ่ายรูปค่ะ โทนสีที่เลือกมาดูหวานละมุน
แต่งไปเที่ยวก็ไม่จัดจ้าน แถมถ่ายรูปออกมาสวยด้วยค่ะ เรียกว่าเป็นลุคที่อ๊อฟแต่งประจำเลยดีกว่า

และเทคนิคทั้งหมดที่อ๊อฟบอกไป เน้นย้ำเลยว่าควรบำรุงผิวให้มากๆ เพราะเวลาแต่งออกมา
จะดูผิวเนียนสวย ทุกอย่างต้องเริ่มต้นด้วยการบำรุงผิวก่อนเนอะ

จะถ่ายรูปให้สวย เสื้อผ้าพร้อมแล้ว อย่าลืมทำผมด้วยนะคะ วันนี้ขอแอ๊บเด็กมัดผมทรงสูง จะได้หางม้าน่ารักๆ
แต่งเสร็จมันก็จะออกมาประมาณนี้ค่ะ แต่ผมเนี่ยสงสัยต้องรวบขึ้นเพราะอากาศบ้านเรามันร้อนจริง ๆ
 วันนี้ออกไปหลายที่เลย แดดบ้านเราก็ร้อนเช่นเคย ปกติเวลาว่างส่วนใหญ่อ๊อฟกับแฟนจะชวนกันไปถ่ายรูปเล่น
หรือหาร้านกาแฟสวยๆ กินกัน ชีวิต blogger เรา เวลาออกไปไม่พกกล้องก็คงไม่ได้เพราะต้องอัปเดตโน่นนั่นนี่
ตลอดเวลาให้แฟนเพจได้ดูกัน วันนี้ก็เหมือนกันค่ะ เป็นอะไรที่ทำจนกลายเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว

อ๊อฟเป็นคนแต่งหน้ารอบเดียวค่ะ จะไม่พกหรือเติมอะไรระหว่างวัน อย่างดีก็แค่เติมลิปสติกหลังทานข้าว
ดังนั้นอย่างที่อ๊อฟบอกการบำรุงผิวหน้าหรือเลือกใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งสำคัญมากและแล้วตั้งแต่เช้าจรดเย็น หน้าเราก็ยังเนียนเด้ง ฉ่ำเว่อร์อยู่ แม้จะออกไปตลอนๆ ตากแดด
โดยที่ไม่ได้ซับหน้าหรือเติมแป้งเพิ่มเลย หน้ายังโอเคอยู่ จะมีบ้างก็ตรงที่ใต้ตาเลือนหายไป
โดยรวมถือว่าผ่านเลย สีไม่ดรอปไม่หมองระหว่างวัน และทั้งหมดก็เป็นเทคนิคและเคล็ดลับดีๆ
ที่อ๊อฟนำมาแชร์ ครั้งต่อไปจะมีอะไรมาแชร์อย่าลืมติดตามกันด้วยน้าาา สำหรับวันนี้ลาไปก่อนค่ะ

 

 

 

 

สวัสดีค่ะ blog นี้อ๊อฟกลับมาพร้อมกับฮาวทูแก้ปีชง ปี 2561 ซึ่งปีฉลู ปีเกิดอ๊อฟซึ่งตรงกับปีชงพอดี
หลายท่านอาจจะไม่เชื่อในเรื่องปีชง แต่สำหรับอ๊อฟเชื่อไว้ก็ไม่เสียหายเนอะ ทำเพื่อความสบายใจ
แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปีชง มารู้ความหมายของคำว่า “ชง ” กันเลยค่ะ

ปีชง (100%)  ได้แก่  ปีนักษัตร มะโรง

หรือคนที่เกิดตรงกับปี พ.ศ. 2471, 2483, 2495, 2507, 2519, 2531, 2543, 2555

ปีชงร่วม ได้แก่ ปีนักษัตร จอ, ฉลู, มะแม

หรือคนที่เกิดปี พ.ศ. 2462, 2465, 2468, 2474, 2477, 2480, 2486, 2489, 2492, 2498, 2501, 2504, 2510, 2513,

2516, 2522, 2525, 2528, 2534, 2537, 2540, 2546, 2549, 2552, 2558

คำว่า ชง ตามภาษาจีนแปลว่า การปะทะ ดังนั้น “ปีชง” จึงหมายถึงปีที่มีการปะทะ โดยความเชื่อเรื่องของปีชง
มีมาจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ของจีน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ องค์เทพไท้ส่วย ที่เรารู้จักกันดีในนาม
เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา” ซึ่งชาวจีนให้ความสำคัญมาก ไม่ว่าชะตาชีวิตจะดีหรือไม่ดี ชาวจีนจะต้องไหว้
เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา (ไท้ส่วยเอี้ย) เพื่อให้คุ้มครอง หากดวงชะตาชีวิตดีอยู่แล้วก็จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิต
ดียิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าชะตาชีวิตไม่ดีก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา คุ้มครองป้องกันจากอุปสรรค
หรือภัยอันตรายทั้งหลายให้ผ่านพ้นไปด้วยดี

และวัดที่อ๊อฟไปแก้ปีชง นั่นก็คือ วัดเล่งเน่ยยี่ 2 หรือ วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์
ซึ่งตั้งอยู่ที่ ถ. บางกรวย-ไทรน้อย อ. บางบัวทอง จ.นนทบุรี อ๊อฟเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักที่นี่แน่นอน

เข้ามาถึงก็เดินมาทำบุญตรงที่เค้าให้ฝากดวงแก้ปีชง ราคาชุดละ  100  บาทค่ะ
หน้าตาของชุดฝากดวงแก้ปีชงก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ เป็นกระดาษหงิ่งเตี๋ย หรือ กระดาษเงินกระดาษทอง
พร้อมเทียบแดง เขียนชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดค่ะ

ขั้นตอนนี้ก็ทำการเขียนชื่อ-นามสกุล ของตัวเองลงไป พร้อมวันเดินปีเกิดและเวลาเกิด
หากไม่ทราบเวลาเกิดให้เขียนคำว่า ” ดี “ ลงไปแทนค่ะ
ไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิดขั้นตอนนะคะ เพราะทางวัดเค้ามีป้ายบอกวิธีการชัดเจน

หลังจากที่เขียนใบแก้ปีชงเสร็จ เราจะนำไปไหว้และฝากดวงชะตากับเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยกัน
จะใช้ธูปแค่ 3 ดอกจุดธูปเรียบร้อยแล้วเปิดด้านใน แล้วอ่านตามในใบเลยค่ะ อ่านเสร็จก็อธิษฐานด้วยนะคะ

หลังจากนั้น นำชุดไหว้มาปัดตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยปัดออกนอกลำตัว จำนวน 12 ครั้ง
เสร็จแล้วก็นำใบทั้งหมดที่ได้มา ไม่ต้องดึงกระดาษสีแดงด้านในออกนะคะ หยอดลงไปในกล่องแก้ปีชงเลยค่ะ

ภายด้านในยังมีองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ให้ได้กราบไหว้กันค่ะ
กราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตกันเนอะ

หลังจากที่ไหว้เสร็จก็นำธูปไปปักในกระถางให้เรียบร้อยเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการแก้ปีชง
เป็นยังไงคะ ง่ายใช่มั้ยหละขั้นตอนไม่ยุ่งยากเลย เดี๋ยวอ๊อฟจะพาไปทำบุญกันต่อที่ด้านบนค่ะ

วันที่อ๊อฟไปเป็นวันธรรมดา คนเลยไม่ค่อยเยอะ แต่วันที่ไปมีฝนตกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย
แค่ต้องระมัดระวังในการเดินเพราะพื้นกระเบื้องบางจุดมีน้ำขังอาจจะทำให้ลื่นล้มได้ค่ะ

นอกจากมาที่นี่จะได้ทำพิธีแก้ปีชงแล้ว สถานที่ก็ยังสวยงามเหมาะแก่การถ่ายรูปมาก ๆ ถ้ามาที่นี่ห้ามพลาดเลย
ควรเก็บรูปไว้เป็นที่ระลึก เพราะยังมีมุมสวยๆ อีกมากมายค่ะขึ้นมาชั้น 2 ข้างบนจะเป็นพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระประธาน 3 พระองค์ พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า
พระอมิตาภพุทธเจ้า และพระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้าเป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

เดินมาข้างๆ ก็จะมีจุดให้ได้ทำบุญกัน เป็นการทำบุญด้วยเทียนเสริมโชคลาภ ราคา ชุดละ 100 บาทค่ะ

เทียนบูชาองค์พุทธเจ้า เฮงๆ รวยๆ ไปตลอดปีเลย

ในชุดเทียนจะมีเศษเหรียญมาให้หยอดใส่บาตรด้วยค่ะ หยอดให้ครบแล้ว จะเหลือเหรียญไว้ 2 บาท
ให้เก็บกลับบ้านเป็นขวัญถุงเพื่อสิริมงคลของชีวิตค่ะ

หลังจากทำบุญที่ชั้น 2 เสร็จ ยังเหลืออีกหนึ่งชั้น ตรงนี้ก็ถือว่าห้ามพลาดเลยมาแล้วต้องถ่ายรูปสักหน่อย

ชั้นสุดท้ายจะเป็นส่วนของโรงเรียนวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ ด้านในจะมีวิหารที่ประดับไปด้วย
พระพุทธรูปองค์เล็กๆเต็มผนัง เป็นศิลปะที่งดงามมาก มากี่ครั้งก็ประทับใจ

หลังจากไหว้พระทำบุญเสร็จก็ถึงเวลาเดินชมความงดงาม ไม่ต้องไปถึงฮ่องกง
ที่ไทยก็มีวัดสวยๆ ไม่แพ้ประเทศใดเลย

ที่นี่เค้าเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น.
วันจันทร์ ถึง ศุกร์ ปิด 5 โมงเย็น ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เปิดถึง 6 โมงเย็นค่ะ

และนอกจากฮาวทูการแก้ปีชงที่อ๊อฟนำมาฝากแล้ว อ๊อฟยังทำรีวิวลิปสติกสีแดงเสริมดวงมาให้สาวๆ ด้วยค่ะ
ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมดวงแล้ว ยังช่วยเสริมความมั่นใจเปิดรับโชคลาภและรับพลังงานดีๆ
ซึ่งอย่างน้อยผู้หญิงเราควรมีลิปสติกสีแดงติดไว้สักแท่งสองแท่ง และอ๊อฟก็คัดโทนสีแดง
มาให้แล้วว่าเนื้อดี ทาออกมาแล้วสวยปังแน่นอนค่ะ

และแท่งแรกที่อ๊อฟแนะนำเลยคือ LIPSTICK ยี่ห้อ GIRLACTIK MATTE LIP PAINT สี ICONIC  ค่ะ
อ๊อฟซื้อมาใน IG ของ Girlactik_thailand ราคา 850 บาทค่ะ
เป็นลิปจิ้มจุ่มสีแดงสดอมส้มเล็กน้อย แต่ทาแล้วขับผิวมาก เนื้อลิปดีงามมากกก
ทาแล้วไม่แห้ง ไม่ตกร่องหรือเป็นคราบเลย ตัวนี้เชียร์สุดพลัง

มาต่อกันที่ลิปจิ้มจุ่ม The Balm Meet Matt(e) Hughes สี Adoring เป็นอีกแบรนด์ที่ชอบมากกก
สีนี้เป็นสีแดงก่ำ เป็นสีแดงเข้มที่สวยมาก แถมมีกลิ่นหอมของมิ้นต์อีกต่างหาก

เม็ดสีแน่น ปาดทีเดียวก็กลบสีปากมิด ไม่แห้งไม่แตก ไม่ตกร่องอีกเช่นเคย ราคา 950 บาทค่ะ

มาต่อกันที่ํ YSL TATOUAGE COUTURE MATTE STAIN 01 Rouge Tatouage สีแดงอมส้ม
เพิ่งรู้ว่าลิปสติกแท่งละ 1,500 บาท มันดีงามขนาดนี้ หัวแปรงคือดีมาก เป็นหัวสีเหลี่ยมเอียงๆ สลัก ysl
ดูหรูหรามาก  ปาดทีเดียวสีแจ่มชัดมาก เนื้อลิปเนียนนุ่ม ไม่แมทมากจนเกินไป ทาบางๆ จะเหมือนทาทิ้นต์
ถ้าจะให้แมทสุดๆ ต้องทา 2-3 รอบ ตัวนี้อยากให้ไปลองกันจริงๆ

มาต่อกันที่ลิปสติกจากแบรนด์ Ustar คอลเลคชั่น Minnie Wonderpop Soft Matte Liquid Lip
กันบ้าง ลิปจิ้มจุ่มราคาน่ารัก แท่งละ 199 บาท แต่คุณภาพเกินราคา

เบอร์ 05 Red Wonder เป็นสีแดงสดแบบสดจริงๆ เนื้อลิปเนียนนุ่มมาก เป็นเนื้อแมทท์แบบกำมะหยี่ที่สวยมาก
เม็ดสีแน่น ปาดทีเดียวก็กลบสีปากมิด ติดทนพอสมควร

ต่อมาเป็นแบรนด์ COSLUXE Blooming Whip Lip & Cheek สี Burgundy Daisy
ตัวนี้ทาได้ทั้งแก้มและปาก ตัวนี้เอามาทาแล้วเกลี่ยๆ ด้วยนิ้วมือจะสวยมาก

มันจะได้โทนสีเบอร์กันดี้ ออกแดงตุ่นๆ ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป เป็นแดงโทนอุ่นๆ ที่เกลี่ยออกมาแล้วสวยดีค่ะ
สนนราคาเท่งละ 198 บาท ได้มาตอนลดราคานะคะ ถ้าจำไม่ผิด

ยังมีอีกสีของแบรนด์ Cosluxe ที่ทาออกมาแล้วน่ารักนั่นคือรุ่น Ultra Matte  Curve Lipstick สี Blood Thirsty
เป็นลิปสติกเนื้อแมทกำมะหยี่ เนื้อลิปนุ่มชุ่มชื่นทาแล้วปากไม่แห้ง ทาแล้วใช้นิ้วปาดๆ เกลี่ยๆ
แล้วสวยดีค่ะ ราคาแท่งละ 299 บาทค่ะ

สุดท้ายเป็นแบรนด์ D O K สี Chaba 05 เป็นสีแดงโทนสว่างที่ทาออกมาแล้วขับผิวมาก ทาไปช่วงตรุษจีน
มีแต่คนถาม เนื้อลิปดีเกินคาด เม็ดสีแน่นมาก เป็นแดงที่ทาออกมายังไงก็สวย ยิ่งคนผิวขาวนะสวยมากกก
เป็นสีที่คุณเมย์ พิชนาฎทาไปออกอีเวนท์ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ราคาแท่งละ 450 บาท
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ ถ้าถูกใจกดไลค์กดแชร์ให้กำลังใจอ๊อฟด้วยน้าาา แล้วพบกันใหม่ blog หน้าค่ะ
สวัสดีค่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วอ๊อฟแอบหนีไปเที่ยวลำพูนมา ครั้งแรกที่อ๊อฟไปลำพูนเมื่อสองปีที่แล้ว
อ๊อฟไปทำงานกับทาง ทสม. มาค่ะ แต่ครั้งนี้เป็นการมาเที่ยวแบบชาวบ้านๆ มาเรียนรู้วิถีชีวิตของคนยอง
และแหล่งผลิตผ้ามัดย้อมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช่ค่ะ แฟชั่นผ้ามัดย้อมที่เราชอบใส่ไปเที่ยวทะเล
เที่ยวภูเขาที่ลำพูนเค้าเป็นแหล่งผลิตเลย วิธีและขั้นตอนจะเป็นยังไงตามอ๊อฟไปดูเลยค่า

แน่นอนว่ามาเที่ยวทั้งที เราต้องจัดเต็มแอบแต่งตัวให้ตรงธีมนิดหน่อย ผ้าพันคอมัดย้อมที่ซื้อมาจากกรุงเทพ
ผืนนี้ราคา 100 บาท สำหรับอ๊อฟก็คิดว่าธรรมดาไม่แพงอะไร แต่พอมาที่นี่ได้เดินดูได้ชอปปิ้ง ต้องร้องโอ้โห
ดังมาก เพราะราคาที่นี่เค้าเริ่มที่ 30 บาท เสื้อสายเดี่ยว 30-50 บาท เดรสมัดย้อม 80 -150 บาท
ถูกมากกกกกกกกกก ถูกจนต้องควักเงินมาซื้อตุนไว้เผื่อไปเที่ยวทะเล

ที่นี่ชาวบ้านเค้าเป็นคนทำกันเองทั้งหมด ขั้นตอนแต่ละตอนก็แบ่งตามทักษะความชำนาญของแต่ละคน
ตั้งแต่ขับรถผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน เรียกได้ว่าบ้านแทบจะทุกหลังทำผ้ามัดย้อมกันเกือบหมดทั้งหมู่บ้าน
เสื้อผ้าที่นำมาทำมัดย้อมมีตั้งแต่เสื้อสายเดี่ยว เสื้อยืด เดรส ซึ่งทั้งหมดทำมาจากผ้าเมมเบิด
ขั้นตอนแรกจะใช้หนังยางมัดให้เกิดลวดลาย ซึ่งแต่ละลายก็จะมีวิธีการมัดที่แตกต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะลายหัวใจ ลายแมงมุม ที่นี่มีหมด

หลังจากนั้นเอาไปจุ่มสี ที่นี่มีทั้งการย้อมสีครามและสีเคมี นำสีไปต้มแล้วนำผ้าไปจุ่มหรือต้มลงในหม้อ
ต้มผ้าให้สีซึม และขั้นตอนต่อไปคือนำผ้าไปจุ่มน้ำยาฟิกซ์กันสีตกที่เตรียมไว้
ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าซื้อไปแล้วสีจะตกเลย

แน่นอนว่าการมัดลายทำให้เกิดลวดลายสวยงาม  ซึ่งขั้นตอนการทำอ๊อฟจะอธิบายไม่ถูกต้องหรือผิดพลาด
ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ มัวแต่นั่งดูคุณย่าคุณยายทำจนเพลิน

พอแกะลายออกมาจะบอกว่ามันสวยมากกกก ยิ่งรู้ว่าราคาไม่แพงยิ่งตกใจไปกันใหญ่
งานฝีมือแบบนี้ต้องทำด้วยความชำนาญจริงๆ

นอกจากจะมีสีครามแล้วยังมีการหยอดสีให้เป็นสีสันสดใส อ๊อฟก็แอบซื้อมาหลายตัวเลย เอาไว้ใส่ไปทะเล

สีสันสดใสแบบนี้ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปอยู่แล้ว ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยเนอะ

ต่อมาก็แวะมาดูการทำเสื้อบาติกย้อมเทียน ซึ่งอันนี้เค้าจะมีแม่พิมพ์ในการปั๊มลายอยู่แล้ว
ลายส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกดอกไม้

โดยทั่วไปกรรมวิธีในการทำผ้าบาติกไม่ซับซ้อนมาก ซึ่งมีหลักการง่าย ๆ  แต้มหรือย้อมสี
และลอกเทียนออกจากผ้า เท่านั้นเอง

ซึ่งหลังจากที่ปั๊มลายแล้วก็มีการจุ่มเทียนแล้วมาสะบัดใส่ภาพ เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราใช้แปรงสีฟันดีดสี
ใส่กระดาษในวิชาศิลปะ ซึ่งเทียนจะช่วยเป็นการปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้สีติดนั่นเอง

หลังจากนั้นก็ลอกเทียนออกจากผ้า จะได้ลวดลายตามที่ต้องการ เหมือนเดิมไม่ต้องกลัวสีตกนะคะ
เพราะเค้ามีการฟิกซ์สีไว้เรียบร้อยแล้ว
ชุดที่ได้ออกมาก็จะประมาณนี้ สีสันสดใส ซึ่งที่นี่เค้าทำออเดอร์กันเป็นร้อยเป็นพันส่งจังหวัดอื่นๆ
รวมถึงที่กทม.ด้วย แน่นอนว่าซื้อที่ลำพูนราคาถูกแสนถูก

กลับมาแล้วก็ต้องใส่สักหน่อย ผ้าใส่สบายมากกกก  ไปกันเถอะลำพูนเค้ามีของดีให้น่าเที่ยวจริงๆ
และถ้าใครผ่านไปลำพูนช่วงวันที่ 23-25 มีนาคมนี้ เค้ามีงานด้วยนะ ไปกันเยอะๆ นะคะ

 

 

**รีวิวนี้เหมาะกับต่างประเทศที่มีอากาศที่เย็นสบายธรรมดาจนไปถึงอากาศหนาวที่ไม่ติดลบมาก
ดังนั้นถ้าติดลบมาก ควรหาเสื้อขนเป็ด หรือเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกว่านี้ค่ะ**
สวัสดีค่ะ เมื่อเดือนธันวาปีที่แล้ว อ๊อฟได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นซึ่งตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี
อากาศหนาวสุดประมาณ – 4 องศา อุ่นสุดก็ประมาณไม่เกิน 10 องศา ต้องบอกก่อนว่าอ๊อฟไม่ชอบอากาศหนาว
เอาซะเลยเลย เพราะอ๊อฟเป็นคนที่ขี้หนาวมากแค่แอร์ 24 องศาก็หนาวแล้ว แค่อาบน้ำออกมาโดนแอร์
ในห้องนอนยังตัวสั่นเป็นลูกนกเลย ดังนั้นเลยจะต้องเตรียมตัวมากกว่าคนอื่น ซึ่งการซื้อเสื้อผ้าแต่ละที
ก็ใช้เงินไม่น้อยวันนี้อ๊อฟเลยจะมาแนะนำว่าอะไรที่ควรมี อะไรที่ต้องซื้อใส่ไปผจญความหนาว
โดยใช้งบไม่เยอะ แต่ใส่แล้วออกมาสวยไม่อ้วนตุ๊ต๊ะเป็นหมี

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

1. เสื้อ Heattech  แน่นอนสิ่งแรกที่เราต้องมีไม่มีไม่ได้ อ๊อฟเลือกใส่ยี่ห้อ ของ Uniqlo 

Heattech รุ่น Extra warm ราคาตอนนี้น่าจะ 590 บาท เป็นฮีทเทคบางๆไม่หนามาก

อ๊อฟซื้อใส่แค่ตัวเดียวค่ะ แต่ถ้าใครหนาวจะใส่ซ้อนกันสองสามชั้นก็ได้

เสื้อฮีทเทคจะช่วยกักเก็บความอุ่นของร่างกาย

 เมื่อข้างในตัวอุ่นก็ใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ตอนนี้เค้ามีรุ่น Ultra warm ออกมา

ซึ่งเหมาะกับคนที่ขี้หนาวเป็นพิเศษ ใครหนาวมากจัดตัวนี้ไปเลย

เคล็ดลับควรใส่ไซส์ให้พอดีกับตัว ไม่ควรเลือกไซส์ใหญ่กว่า ยิ่งแนบลำตัวมากเท่าไหร่ยิ่งอุ่นเท่านั้น

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

2. เสื้อไหมพรมหรือสเวตเตอร์ เราจะใส่ทับฮีทเทคค่ะ เลือกแบบทอลายแน่นๆ หน่อย ยิ่งแน่นยิ่งทำให้ลม

ผ่านเข้าไปยากและแบบที่ควรเลือกคือคอปีนหรือคอเต่า แต่อ๊อฟเลือกเสื้อฮีทเทคฟรีซของยูนิโคล่มาค่ะ

ในรูปจะเห็นว่าอ๊อฟใส่ฮีทเทคฟลีชสีขาว ซึ่งอ๊อฟคิดว่ามันดีกว่าเสื้อไหมพรมเพราะมันสามารถกันลม

และกันอากาศหนาวได้ระดับนึงเลยทีเดียวค่ะ อ๊อฟเลือกสีขาวกับดำมาใส่สลับกันไป

ราคาตัวละประมาณ 290 บาท ถือว่าไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับซื้อพวกเสื้อไหมพรมแบบแฟชั่น

3. กางเกงสกินนี่กันหนาว  อ๊อฟซื้อของแบรนด์ coatover ค่ะ ซึ่งเป็นผ้ายืดใส่สบายมาก
คุณสมบัติเค้าบอกมาว่าใส่ได้ถึงอุณหภูมิติดลบ 10 องศา อ๊อฟซื้อมาหลายปีแล้ว
เลือกสีดำมากับสีขาวเพราะใส่เข้าง่ายกับทุกชุด mix & match ใส่ไปได้ตลอด
ใส่ไปเกาหลีตอนติดลบเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ยังเอาอยู่ แค่อย่าให้อ้วนกว่าเดิมก็พอ 555
ราคาแรงไปนิดแต่ลงทุนครั้งแรกแล้วก็ควรเก็บรักษาดีๆ ค่ะ อ๊อฟซื้อมา 1,190 บาท

ส่วนใครไม่ชอบใส่พวกสกินนี่กลัวจะอุ่นไม่พอ ใส่กางเกงฮีทเทคแทนก็ได้เหมือนกันค่ะ

4. รองเท้าบูทยาว อ๊อฟเลือกซื้อแบรนด์ Coatover ที่อ๊อฟเลือกแบบยาวถึงเข่ามา
เพราะมันจะช่วยกันลมกันอากาศเย็นได้อีกทางหนึ่ง ทำให้หน้าขาอุ่น แต่ถ้ามีงบซื้อเป็นบูทหนังที่กันหิมะ
ได้จะดีกว่าค่ะ นอกจากจะเดินสบายไม่ต้องกลัวลื่นแล้ว ยังไม่ต้องกลัวว่าเวลาหิมะละลายหรืออากศชื้นๆ
จะเปียกหรือซึมเข้าไปข้างในรองเท้า ส่วนของอ๊อฟเลือกเป็นแบบผ้าเพราะอ๊อฟไม่ได้ไปลุยหิมะ
ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ารองเท้าจะเปียกค่ะ ขอแค่เท้าอุ่น ใส่เดินสบายไม่เมื่อยก็พอ
และยี่ห้อที่เลือกมาก็เป็นแบบมีส้นเพราะเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เล็กนะคะ
ไม่ใช่เตี้ย 555 ดังนั้นใส่บูทมีส้นจะช่วยให้ดูสูงเพรียวมากขึ้น แนะนำแบบส้นเตารีด
จะใส่เดินได้สะดวกสบาย อ๊อฟซื้อมา 2-3 ปีที่แล้ว ราคา 1,590 บาท
ใส่เดินทั้งทริปก็ยังไม่เจ็บขา อาจจะมีเมื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง

5. เสื้อโค้ท เมื่อตอนไปต่างประเทศครั้งแรกอ๊อฟซื้อพวกเสื้อโค้ทวูลมา 4-5 ตัว
แบบใส่ไม่ซ้ำกันทุกวัน ราคาก็แน่นอยู่ ตัวละสองพันกว่า พันกว่าๆก็มี แต่ไม่เคยต่ำกว่าพันเลย
ซื้อหมดทีก็เป็นหมื่นเอามาขายก็ได้ราคาน้อยไม่คุ้มกันอีก ดังนั้นมาคิดดูแล้ว อ๊อฟเลยเลือกจะซื้อ
มือสองเอาค่ะ ตัวนึงไม่เกิน 500 บาท บางตัวอ๊อฟซื้อมา 300 ก็มี ใส่เสร็จขายต่อในไอจีได้อีก
เอาเงินไปซื้อตัวใหม่ใส่ทริปต่อไป เพราะอ๊อฟไม่ค่อยใส่เสื้อผ้าซ้ำ เวลาถ่ายรูปจะได้ออกมาสวยเนอะ
และที่อ๊อฟใส่อยู่ทั้งทริปก็เป็นโค้ทมือสองทั้งนั้นเลยค่ะ แหล่งซื้ออ๊อฟจะซื้อในไอจีค่ะ
เพราะเป็นคนซื้อเสื้อผ้าทางอินเตอร์เนตบ่อยมาก แต่ถ้าใครกลัวจะใส่ไม่ได้อ๊อฟแนะนำว่าไปซื้อ
ที่ธัญญาพาร์คศรีนครินทร์เลยค่ะ ตรงชั้นที่ทำ passport ลงมาจะมีร้านขายเสื้อกันหนาว
อุปกรณ์กันหนาวมือหนึ่งมือสองสภาพดีเยอะมาก ราคาไม่แพงอีกด้วย
อ๊อฟไปดูแล้วบางตัวนี่ยังใหม่เลย ทำความสะอาดเรียบร้อย ซื้อมือสองยังคุ้มกว่าเช่าอีก
เพราะคำนวณแล้วถ้าเช่าแบบสวยๆ อ๊อฟเคยหาข้อมูลเช็คราคาตัวนึงก็ปาไป 1,000 บาทแล้ว
5 ตัว ก็ 5,000 บาทแหนะ อ๊อฟเลยคิดว่าซื้อมือสองคุ้มกว่าค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคนที่รับได้ด้วยนะคะ
บางคนอาจจะไม่ชอบใส่เสื้อผ้ามือสอง ส่วนอ๊อฟเลือกเป็นบางอย่างค่ะ ไม่ค่อยถือ

(เครดิตรูปภาพจากกูเกิ้ล)

6. ถุงทรายร้อน อันนี้คือดีมาก อ๊อฟใช้ขยำในกระเป๋าเสื้อโค้ทแทบตลอดเวลา มันช่วยได้มากจริงๆ
ตอนที่เรายกมือออกมาถ่ายรูป มือนี่แข็งกดชัตเตอร์แทบไม่ลง นึกว่ามือหายไปแล้ว
ถุงทรายร้อนแบบนี้ช่วยได้มาก ถ้าหนาวตรงไหนก็หยิบขึ้นมาอังจะช่วยให้รู้สึกอุ่นได้ ถุงนึงอยู่ได้ตั้งหลายชม.
ราคาต่อถุง ถุงละ 30 บาทไทย อ๊อฟไปซื้อที่โน่นเอาค่ะ บางคนถามว่าแผ่นแปะๆ ที่ขายตาม 7 ช่วยได้มั้ย
สำหรับอ๊อฟ อ๊อฟว่าแทบไม่ได้ใช้เลย เพราะ ในตัวเรามันอุ่นอยู่แล้วจากเสื้อผ้าที่เราใส่มา
จะมีแต่พวกตรงศีรษะ หู จมูก แขน ขา เท้า เท่านั้นที่เวลาลมปะทะมายังคงเย็นอยู่

 

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

7. ถุงเท้าฮีทเทค สำหรับอ๊อฟคิดว่าสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้อุ่นแล้ว ยังไม่เก็บเหงื่ออีกด้วย
ไม่ชื้น ไม่เหม็น ซื้อคู่เดียวใส่ไปทั้งทริปเลย 555 (อย่าบอกใครไปเนอะ)

8. หมวก ที่ปิดหู ถุงมือ หน้ากาก ผ้าพันคอ อันนี้ก็สำคัญค่ะ ควรมีติดไว้เอาไว้
ตอนอ๊อฟไปเดินดูไฟตอนกลางคืน ทรมานมาก ตัวมันอุ่นแต่หนาวหน้ามาก หน้าชาไปหมด
แค่ถอดออกมาถ่ายรูป จมูกยังแดง ตาฉ่ำไปหมด ยิ่งเวลาลมปะทะมานะ อยากตะโกนดังๆ ว่า ไม่ไหวแล้วโว๊ยยย
ส่วนใครที่ไม่มีหน้ากากหรือผ้าปิดจมูกจริงๆ ก็เอาผ้าพันคอนี่แหละมาพันคอให้ปิดไปถึงปากหรือจมูกก็ได้ค่ะ
ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แถมยังพันได้หลายแบบอีกด้วย หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์แก่สาวๆ ไม่มากก็น้อย
แล้วพบกันใหม่ blog หน้าน้าาาา

 

 

 

ใครเคยฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกหรือกำลังคิดจะฉีด หรือกำลังคิดจะเสริมจมูก
วันนี้อ๊อฟมีประสบการณ์การขูดฟิลเลอร์และเสริมจมูกครั้งแรกมาฝากกันค่ะ

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 อ๊อฟได้เข้าไปปรึกษาคุณหมอจงและคุณหมอโบ๊ทที่ Renita Clinic
เนื่องจากจมูกที่อ๊อฟเคยฉีดฟิลเลอร์มาหลายปี เริ่มไม่ได้รูปเหมือนตอนแรกที่ฉีด จมูกดูโตกว่าปกติ
ทรงเริ่มผิดรูปไปจากแต่ก่อน เลยกังวลและเริ่มเครียดเพราะถ่ายรูปออกมาไม่สวย

คุณหมอจงและคุณหมอโบ๊ทจับก็รู้เลยว่าฟิลเลอร์มันเริ่มไหลมากองอยู่ตรงสันจมูก ไปค้างอยู่แถวบริเวณหัวตา
จมูกเลยดูป้านๆ และโตกว่าปกติ หลังจากที่คุณหมอจับดูก็แนะนำว่าต้องทำการขูดฟิลเลอร์ก่อนและถึงจะเสริมได้
ต้องบอกก่อนว่าฟิลเลอร์ที่อ๊อฟฉีดมาเป็นของแท้และถูกต้องตามมาตรฐานคลีนิค เป็นยี่ห้อ Juviderm
ซึ่งอ๊อฟเข้าใจว่าฉีดแล้วมันสลายออกหมด แต่ความจริงแล้วมันไม่สามารถสลายออกได้หมด
ใครที่กำลังคิดจะฉีดอ๊อฟแนะนำว่าเสริมจมูกไปเลยดีกว่าค่ะ ไม่อันตรายด้วย
(รูปตอนไม่เคยฉีดฟิลเลอร์หรือศัลยกรรมใดๆ)
ก่อนที่จะไปดูรูปที่ฉีดฟิลเลอร์ มาดูพื้นฐานจมูกเก่าของอ๊อฟก่อนดีกว่า อ๊อฟเป็นคนมีเนื้อตรงปลายจมูก
ค่อนข้างเยอะ ปลายจะกลมๆ มีดั้งเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับแหมบเข้าไป เรียกว่าก็พอมีแบบน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม
ต้องอาศัยการแต่งหน้าช่วยถึงจะทำให้ดั้งพุ่งขึ้นมาได้บ้าง แต่ถึงจะแต่งมันก็ไม่ได้โด่งอะไรมากมายอยู่ดี 55
ตอนนั้นมันก็ดูน่ารักสมวัยอะเนอะ
(รูปตอนฉีดฟิลเลอร์แรกๆ)
อ๊อฟฉีดฟิลเลอร์มาหลายปีแล้ว ตอนฉีดแรกๆ ยอมรับว่าสวย เนียน ธรรมชาติมาก โด่งได้ดังใจ จะเน้นปลายพุ่งๆ
หรือแบบมีหยดน้ำก็ปั้นได้ตามใจยิ่งหันข้างยิ่งสวย พอฉีดไปปีนึงจมูกก็เริ่มยุบไม่โด่งเหมือนแต่ก่อน
ก็กลับไปฉีดอีกเป็นอย่างนี้ประมาณ 2 – 3 ปี ที่เข้าๆ ออกๆ คลีนิคเสริมความงามเพื่อฉีดฟิลเลอร์

(รูปตอนฉีดฟิลเลอร์ผ่านไป 1-2 ปี)
จากในรูปพอฉีดไปสักพักใหญ่ๆ จมูกที่เคยเป็นสันก็เริ่มไม่คมแล้ว เริ่มจะบานออกข้างๆ
หน้าตรงนี่เห็นได้ชัดเลยว่าไม่คมสวยเหมือนแต่ก่อน ช่วงสันและปลายจะบวมโตออกมา

(รูปตอนฉีดฟิลเลอร์ผ่านไป 1-2 ปี ก่อนวันที่จะเสริมจมูก)
ยิ่งด้านข้างจะเห็นชัดเลยว่าตรงหว่างคิ้วจะหนาและนูนออกมา เหมือนจมูกสิงโต
เลยทำให้เครียดไปกันใหญ่ หาข้อมูลสักพักถึงเข้ามาปรึกษาคุณหมอ
พอรู้ว่าขั้นตอนแนวทางแก้ไขว่าเป็นยังไง ต้องทำอะไรบ้าง ก็ทำการนัดคุณหมอ

ตอนปรึกษาคุณหมอก็มีความกังวัลว่าถ้าเสริมซิลิโคนแล้วจะออกมาไม่เป็นธรรมชาติเหมือนตอนฉีด
เลยต้องมีการคุยกับคุณหมอเล็กน้อยว่าเราชอบสไตล์ไหน ปรากฎว่าคุณหมอโบ๊ทและคุณหมอจงที่เรนิตาคลีนิค
เค้าก็เน้นแบบธรรมชาติ มากกว่าที่จะเห็นดั้งพุ่งโด่งมาแต่ไกล ดังนั้นยิ่งมั่นใจเลยว่าทำแล้วต้องออกมาสวยแน่นอน
แนะนำว่าก่อนมาทำให้เข้ามาคุยมาปรึกษากับคุณหมอให้คุณหมอประเมิณก่อนว่าเราเหมาะกับสไตล์ไหน
ทำออกมาแบบไหนถึงจะดูดี เหมาะกับเราและไม่เป็นอันตราย เสี่ยงทะลุภายหลัง

ถึงเวลาที่ต้องทำการขูดฟิลเลอร์และเสริมจมูกแล้ว ซิลิโคนที่อ๊อฟใช้เป็นของอเมริกาแบบนิ่ม นิ่มแบบว่าบิดเกลียว
ได้เลย จมูกเก่าของอ๊อฟค่อนข้างมีเนื้ออยู่แล้วดังนั้นเคสนี้จะทำแค่การขูดฟิลเลอร์ออกก่อนและเสริมจมูก
หลังขูดทันที จมูกอ๊อฟไม่ต้องใช้เนื้อเยื่อเทียมหรือกระดูกหลังหูมารองช่วงปลายจมูก เพราะเป็นคนมีเนื้อตรง
ปลายเยอะอยู่แล้ว ไม่ใช่คนปลายจมูกบาง ดังนั้นตัดเรื่องการทะลุไปได้เลย เพราะอ๊อฟทำแบบโด่งพอดีๆ

ถ้าถามว่าตื่นเต้นมั๊ย ก็มีบ้างเพราะเป็นการเสริมจมูกครั้งแรก และก่อนจะเสริมก็ต้องทำการขูดฟิลเลอร์ออกก่อน
พอก่อนจะทำก็อ่านรีวิวมามากทั้งอ่านทั้งดูคลิปก็เลยเกิดอาการกลัว เพราะเค้าบอกว่าตอนขูดจะเจ็บมาก
แต่พอเอาเข้าจริงๆ เจ็บนิดหน่อยเท่านั้นเอง จะเจ็บก็แค่ฉีดยาชา หลังจากนั้นอ๊อฟก็ไม่รู้สึกอะไรเลย
หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย เอาเป็นว่าฉีดลดแฟตตอนยามันเดินยังเจ็บกว่า 555

และนี่คือฟิลเลอร์ที่คุณหมอทำการขูดออกมาทั้งหมด ต้องทำใจว่าอาจจะขูดได้ไม่หมด อาจจะมีหลงเหลือ
อยู่บ้าง แต่คุณหมอบอกว่าจะพยายามเอาออกให้มากที่สุดเท่าที่จะเอาออกได้ และประมาณฟิลเลอร์ที่เห็น
ก็ออกมาเกือบเต็มแผ่นผ้าก๊อตเลยทีเดียว คุณหมอบอกว่ามีต่ำๆ 4 ซีซีแน่ๆ  หลังจากขูดเสร็จคุณหมอ
ก็ทำการเหลาซิลิโคนให้เข้ากับรูปหน้า แล้วจึงใส่เข้าไป จัดแต่งปรับมุมให้พอดี เช็คแล้วเช็คอีกว่าเป๊ะมั้ย
ของอ๊อฟใช้เวลาไม่นาน จะนานก็ตรงขูดฟิลเลอร์นี่แหละ หลังจากใส่ซิลิโคนเสร็จก็ทำการเย็บปิดแผล
ด้านในจมูก ซึ่งแผลในจมูกของคุณหมอก็ทำการซ่อนเป็นอย่างดี ไม่มีทางเห็นแน่นอน
รวมแล้วใช้เวลาไปทั้งหมด 1 ชม. นิดๆ ค่ะ

หลังทำเสร็จออกจากห้องผ่าตัดก็มาถ่ายรูปกับคุณหมอ จะบอกว่าในรูปคือทั้งขูดฟิลเลอร์และเสริมจมูกแล้ว
ไม่บวมไม่แดงเลย คุณหมอมีความมือเบามากจริงๆ ณ จุดนี้ต้องขอกราบแทบตัก 555
คุณหมอที่ดูแลอ๊อฟมี 2 ท่านด้วยกันคือ
นายแพทย์ สาครินทร์ บุญบรรเจิดสุข (คุณหมอจง) ด้านขวา
นายแพทย์พลพงศ์  ชยางศุ (คุณหมอโบ้ท) ด้านซ้าย

หลังจากนั้นคุณหมอก็จะทำการแปะพลาสเตอร์เพื่อทำการดามหรือล็อคจมูกไว้ สามารถแกะออกได้ประมาณวันที่
4 – 5 ค่ะ ความรู้สึกหลังทำจะบอกว่าไม่เจ็บเลย มีแค่ตึงๆ ช่วงปลายจมูกเล็กน้อย ขั้นตอนการดูแลรักษาบอกเลย
ที่นี่อเมซิ่งมาก ตอนแรกอ่านรีวิวมาต้องเตรียมหมอนรองคอ น้ำใบบัวบก น้ำมะพร้าว งดทานของหมักดองโน่นนี่
จะบอกว่าคุณหมอไม่ห้ามอะไรเลย ไม่ต้องประคบร้อนหรือเย็น ไม่ต้องไปยุ่งกับแผลในจมูก จะนอนท่าไหน
ก็ตามสบาย และอยากทานส้มตำก็ทาน คุณหมอเน้นแค่ช่วงแรก อย่าเพิ่งทานอะไรเผ็ดๆ ที่ทำให้น้ำมูกไหล
 และต้องทานยาตามที่หมอสั่งให้ครบ มียาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวดทานเมื่อปวดเท่านั้น
ส่วนยาแก้อักเสบต้องทานให้ครบ และมาพบคุณหมอตามที่นัดเพื่อทำการฉีดยาลดบวมและเช็คแผลในจมูก

หลังจากทำจมูกอ๊อฟแทบจะไม่บวมหรือช้ำอะไรมากเลย มีบวมแค่ช่วงหัวตาเล็กน้อย
จะบวมช่วงประมาณวันที่ 4 จะรอยเหลืืองๆ แถวหัวตา อ๊อฟไม่ได้ทายา ประคบร้อนหรือเย็นเลย
ปล่อยให้มันหายเอง ระวังแค่ไม่ให้อะไรมาโดนจมูก ตอนนอนก็นอนตะแคงปกติ แค่เอาหมอนหนุนให้สูงเล็กน้อย
หลังจากวันที่ 10 รอยช้ำก็ค่อยๆ ยุบและจางลง จะมีก็บวมเล็กน้อย แต่ไม่ได้บวมมาก
สามารถแต่งหน้าออกไปไหนมาไหน ไปออกงานได้ปกติโดยที่ไม่มีคนดูออกเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยนะคะ ว่าทำแล้วอาจจะบวมมากบวมน้อย ของอ๊อฟโชคดีที่แทบจะไม่บวมเลย
และไม่มีปัญหาเรื่องการกิน ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ หน่อไม้ หรือของหมักดอง ดังนั้นต้องรู้ตัวเองด้วยว่าทานอะไร
ได้ไม่ได้ หรือเป็นคนทานของแสลงไม่ได้เวลามีแผลหรือทำศัลยกรรม

(หลังทำจมูก 14 วัน คุณหมอนัดเพื่อตรวจเช็คแผล)
หลังจากนั้นคุณหมอก็ทำการนัดเพื่อที่จะตรวจแผลด้านในจมูกว่าแห้งดีมั้ย มีการอักเสบหรือเปล่า
แผลของอ๊อฟเกือบจะแห้งสนิทแล้ว ตอนนี้ไม่ปวด ไม่เจ็บ มีแค่อ้าปากกว้างมากยังไม่ได้
เพราะจะตึงช่วงปลายจมูก ส่วนรอยฟกช้ำแทบจะหายสนิทแล้ว
(หลังทำจมูก 1 เดือน)
ครบ 1 เดือนแล้ว จมูกยังไม่เข้าที่เข้าทางแต่แทบจะไม่บวมแล้ว คุณหมอบอกว่ารอแค่เวลาที่จะรัดแกน
จมูกจะคมเป็นสันสวยกว่านี้ แต่แค่เดือนเดียวขนาดนี้ก็พอใจมากกกกก

(หลังทำจมูก 1 เดือน)
ด้านข้างคือสวยมาก อันนี้คือไม่ได้คิดไปเองนะ สวยจนน้องพนักงานที่ Big C เดินมาถามว่า พี่คะพี่ทำจมูกที่ไหน
สวยมากค่ะ เราก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือโกรธดี ได้แต่บอกไปว่า ไปค่ะ ไปเรนิตา คลีนิคได้เลย 555

(หลังทำจมูก 2 เดือน)
มีความเป๊ะมากขึ้น ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวย ชอบมากกก ตรงช่วงหว่างคิ้วที่ขูดฟิลเลอร์มา
ตอนแรกที่มันบวมๆ นึกว่ามันจะไม่ยุบซะแล้ว สรุปว่ายุบลงเรื่อยๆ จนแทบจะเป็นปกติแล้ว
สำหรับคนที่สนใจสามารถเข้าไปพูดคุยหรือปรึกษาคุณหมอก่อนได้นะคะ
คุณหมอไม่ได้อยู่ตลอด ส่วนมากจะเข้าทุกวันอาทิตย์เพราะคุณหมอทั้งสองท่านจะประจำอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่
ส่วนใครที่จะเดินทางมามาพบคุณหมอ สามารถดูรายละเอียดที่อยู่หรือจะเข้าไปทำการนัดคิวได้ที่เวปไซต์
อ๊อฟใส่ลิงก์เข้าไปให้แล้วคลิกที่ชื่อคลีนิคได้เลยค่ะ

RENITA CLINIC

และพิเศษสุด ถ้าบอกว่ามาจากอ๊อฟ เพจ Iloveaday

เสริมจมูกด้วยซิลิโคนได้ในราคาพิเศษ 17,500 บาท

ใครที่รอดูคลิปประสบการณ์ขูดฟิลเลอร์และเสริมจมูก รวมไปถึงหลังทำว่าเป็นอย่างไรบ้าง

รอติดตามคลิปได้เร็วๆ นี้ทางช่อง Youtube iloveaday หรือทางแฟนเพจได้เร็วๆ นี้

Hifu คืออะไร ทำไปทำไม ทำแล้วเจ็บมากมั้ย ได้ผลดีหรือเปล่า วันนี้อ๊อฟมีคำตอบให้ค่ะ

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมาแชร์ประสบการณ์ปรับรูปหน้าให้เป๊ะกับทาง Blink Clinic 
ที่อ๊อฟเพิ่งทำมาปีที่แล้วค่ะ ต้องบอกก่อนเลยว่าพออายุล่วงเลยมา 32 ขวบแล้ว
รูปหน้าที่เคยเรียวกระชับก็กลับหย่อนคล้อย ผิวพรรณไม่สดใส แถมปัญหาหลักของอ๊อฟคือใบหน้า
ด้านขวาและด้านซ้ายไม่เท่ากัน วันนี้อ๊อฟเลยเลือกที่จะมาทำ hifu ในการปรับรูปหน้าค่ะ

และคลีนิคที่อ๊อฟมาทำก็คือ Blink Clinic By Dr.Mai สาขาสุขุมวิท 23 ใกล้แยกอโศกค่ะ
คลีนิคนี้เค้าไม่ได้ดังเรื่อง hifu อย่างเดียว แต่เรื่องเสริมจมูกนี่ดังมาก
ตอนอ๊อฟมาเห็นลูกค้ามารอทำจมูกเพียบเลย เดินทางมาไม่ยากเลยค่ะ
การขนส่งสาธารณะสามารถเดินทางมาโดย
BTS อโศก
MRT สุขุมวิท
ถ้าขับรถมาสามารถนำรถไปจอดได้ที่โรงแรมฝั่งตรงข้ามค่ะ เพราะหน้าคลีนิคจอดไม่ได้ค่ะ

ก่อนที่เราจะทำก็ต้องพบคุณหมอเพื่อวิเคราะห์รูปหน้ากันก่อน อย่างอ๊อฟปัญหาหลักๆ เลยใบหน้า
หย่อนคล้อยและรูปหน้าด้านขวาไม่เท่ากันกับด้านซ้าย ซึ่งถ้ามองหน้าตรงจะเห็นได้ชัดเลย

หลังจากที่คุณหมอประเมิณแล้ว สรุปว่าอ๊อฟจะทำแค่เพียงด้านขวาด้านเดียวเพราะใบหน้าด้านซ้าย
ได้รูปเรียวสวยอยู่แล้ว จึงต้องทำด้านขวาอย่างเดียว เพราะถ้าทำทั้งหมดก็จะไม่เท่ากันไปอีก

ขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ ถ้าใครแต่งหน้ามาทางเจ้าหน้าที่ก็จะคลีนหน้าให้สะอาด
บางคนอาจจะกลัวว่าจะเจ็บมั้ย ทำไปแล้วต้องพักฟื้นหรือเปล่า วันนี้อ๊อฟมีคำตอบมาให้ค่ะ

HIFU ย่อมาจากภาษาอังกฤษ High Intensity Focus Ultrasound คือการนำคลื่นเสียง

ความถี่สูงที่สามารถปล่อยคลื่นเสียงออกมาโดยการโฟกัสเป็นจุดๆ ลงลึกถึงโครงสร้างเนื้อเยื่อ

ชั้นในคือชั้น SMASH นั่นเอง ผลคือกระตุ้นให้เกิดการเรียงตัวของคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่

ทำให้ผิวยกกระชับ ได้รูปสวยงาม

ก่อนที่จะทำก็จะทำการลงเจลเย็นๆ ไปที่ผิว ไม่ต้องตื่นเต้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ

ต้องบอกก่อนว่าแต่ละคนนั้นจะยิงไม่เท่ากัน เพราะหลังจากที่คุณหมอประเมิณแล้วก็จะมากด
เจ้าเครื่องนี้และก็จะประเมิณออกมาว่าจะยิงเท่าไหร่ ใช้ระดับความแรงเท่าไหร่

Hifu เหมาะกับคนที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่กระชับ และอยากมีกรอบหน้าที่ชัดได้รูป

ช่วยยกกระชับคิ้วและโหนกแก้ม เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ ไม่เสียเวลาพักฟื้น

และยังได้ผิวที่เรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้น

ความรู้สึกตอนยิงก็จะร้อนๆ แปร๊บๆ แบบลงไปใต้ผิว ถ้าใครที่มีเนื้อที่ค่อนข้างน้อย พอยิงไปจะรู้สึก
เจ็บไปถึงผิวด้านใน แต่ไม่ได้เจ็บแบบทนไม่ได้ต้องเลิกทำนะคะ มันก็ยังเจ็บอยู่ในระดับที่รับได้ค่ะ

และข้อดีของการทำ Hifu ก็คือ หน้าเราจะไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยเข็ม ไม่บวม ไม่ต้องพักฟื้น
สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 555

ตรงที่เจ็บที่สุด ก็จะเป็นแถวช่วงหน้าผาก โหนกคิ้ว แถวใต้ตา ซึ่งตรงนั้นจะมีเนื้อน้อยกว่าช่วงแก้ม
จึงทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่าที่อื่นค่ะ

ระยะเวลาการทำก็ไม่นานค่ะ ประมาณ 20 นาที แปปเดียวก็ออกมาสวยแล้ว หลังทำมีคนถามว่าเห็นผลทันทีเลยมั้ย
แน่นอนค่ะ หลังทำปุ๊บผิวเราจะยกขึ้นทันที และหลังจากนั้นประมาณ 1-2 เดือน
รูปหน้าก็จะเรียวกระชับได้รูปมากขึ้นค่ะ

อ๊อฟทำใบหน้าด้านขวาเพียงอย่างเดียวค่ะ หลังทำจะเห็นได้ว่า แก้มด้านขวายกขึ้นมาเกือบจะเท่าด้านซ้ายแล้ว
และหลังจากนี้ไปอีกเดือนหรือสองเดือนใบหน้าก็จะยกกระชับได้รูปมากขึ้นค่ะ
แถมยังอยู่ได้นานไม่ต้องมาทำบ่อยๆ อีกด้วย อยู่ได้ถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่การดูแลตัวเองด้วยค่ะ

หลังทำเดือนนึงใบหน้าก็จะเรียวได้รูปอย่างที่เห็น ทำให้ถ่ายใบหน้าด้านตรงได้บ่อยขึ้น
สำหรับใครที่สนใจสอบถามรายละเอียดได้ทางลิงก์ด้านล่างเลยค่ะ

Blink Clinic By Dr.Mai