สวัสดีครับ หลังจากที่กระทู้รีวิว เครื่องชงกาแฟแบบพกพา ที่ผมเคยเขียนไปทั้งในเวปไซด์และกระทู้พันทิป
ได้รับฟีดแบคดีมาก วันนี้ผมมีของเล่นใหม่มานำเสนอครับ
มันคือ เครื่องบดกาแฟมือหมุน ยี่ห้อ Timemore รุ่น Chestnut Slim แบรนด์ของทางฮ่องกง
ที่กำลังมาแรงในสายกาแฟ Slow Bar
สำหรับผู้ที่ชงกาแฟทานเองก็จะทราบอยู่แล้วว่าการบดเมล็ดกาแฟมีผลต่อรสชาติในการชงแต่ล่ะครั้ง
ก่อนหน้านี้ผมใช้เฟืองบดเซรามิกมาตลอดและคิดว่าเพียงพอสำหรับการชงแบบ Pour Over (drip coffee)
แต่ในบางครั้งเครื่องบดมือเฟืองบดเซรามิกก็ให้ขนาดของผงกาแฟที่ไม่เท่ากันจึงทำให้น้ำที่ไหลผ่านกาแฟ
ในแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน และเลยไปถึงเวลาของการเทน้ำ ซึ่งจะกินเวลามากกว่าปกติ
และนั่นหมายถึงรสชาติที่จะเปลี่ยนไปแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล
ที่ผมกล่าวมาเป็นเพียงทฤษฎีขั้นพื้นฐาน ผมเลยลองศึกษาหาวิธีการที่จะทำให้การบดกาแฟในแต่ละครั้ง
ออกมาได้ใกล้เคียงกันที่สุด จนมายี่ห้อ Timemore ที่เป็นเครื่องบดกาแฟมือหมุน
เฟืองบด Stainless steel ในราคาที่จับต้องได้
ภายในกล่องประกอบไปด้วย ตัวเครื่องบด คู่มือสองภาษา ใบ Certificate ใบ Warranty และถุงผ้า
ตัวเครื่องถูกแพคมาอย่างเรียบร้อยและอยู่ในกล่องโฟมกันกระแทกอย่างดี
ตัวมือจับและฝาปิดเป็นชิ้นเดียวกัน (Handle & Lid) ซึ่งหัวมือจับเป็นชิ้นไม้แยกออกได้และติดกันด้วยแม่เหล็ก
ช่วงท้ายตัวเครื่องเมื่อหมุนแยกออกมีตัวปรับระดับความละเอียดของการบดกาแฟเป็นจุด (Point)
ตัวเครื่อง (Body) และตัวเก็บผงกาแฟ (Container) หมุนติดรวมเป็นชิ้นเดียวกัน
สามารถหมุนแยกจากกันด้วยเกลียว ไม่ต้องกลัวหลุดระหว่างบดกาแฟ
ซึ่งในรุ่นนี้ (Chestnut Slim G1 ) บรรจุเมล็ดกาแฟได้สูงสุดต่อครั้งคือ 20 กรัม
มี 2 สี คือ สีดำและสีทอง ผิวสัมผัสก็จะแตกต่างกัน
น้ำหนักตัวเครื่อง 420.4 กรัม ซึ่งอาจจะหนักกว่าเครื่องบดกาแฟมือหมุนทั่วไปที่เป็นเฟืองบดเซรามิก
เพราะรุ่นนี้เป็นเฟืองบด Stainless steel
นอกเหนือจากภายในกล่องแพคเกจทางบริษัท Timemore ยังมีแปรงทำความสะอาดมาให้อีกด้วย
เราลองมาดูภายในกันบ้างครับ อย่างที่บอกว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นเฟืองบด Stainless steel
ชิ้นส่วนภายในก็จะเป็น Stainless steel เช่นกัน แต่โครงสร้างภายนอกเป็นอลูมิเนียมอัลลอย
รุ่นนี้เป็นเฟืองบดเริ่มต้น Stainless steel (G1)
ส่วนรุ่น Top เป็นเฟืองบด Carbon Steel Coated Titanium (G1S)
รายละเอียดชิ้นงานมีความปราณีตมาก ขนาดน็อตตัวบนสุดยังมีพิมพ์บอกบน-ล่าง
ภายในมีแหวนลูกปืนแบริ่งสองชั้นบน-ล่าง รองรับการหมุนของแกนกลาง
ทำให้การหมุนลื่นมาก
ต่อไปเราจะมาเปรียบเทียบเครื่องบดกาแฟมือหมุนที่ผมมีเรียงจากซ้ายไปขวา
ทั้งหมดนี้ขออนุญาตแฟนแล้วตอนซื้อ >.<
อันซ้าย คือ ยี่ห้อ FUJIMARU เฟืองบดเซรามิก
ตัวกลางคือ ยี่ห้อ Timemore รุ่น Chestnut Slim เฟืองบด Stainless steel ที่ผมเพิ่งรีวิวไปด้านบน
อันขวา คือ ยี่ห้อจากจีนแดง เฟืองบดเซรามิก
เรามาดูการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างเฟืองบดเซรามิกและเฟืองบด Stainless steel กันคับ
ว่าจะแตกต่างกันขนาดไหน
เริ่มจากการใช้กาแฟในขนาดเท่ากัน 5 กรัม และใช้ความหยาบของเครื่องบด 10 จุด ซึ่ง 10 จุดนี้คือ
การหมุนปรับระดับของเครื่องบดให้ชิดสุดจนหมุนต่อไม่ได้แล้วหมุนย้อนกลับมา 10 จุด ผลที่ได้คือ
ผลที่ได้คือยี่ห้อ FUJIMARU ใช้การหมุนทั้งหมด 49 รอบ ส่วนยี่ห้อ Timemore ใช้ 39 รอบ
และยี่ห้อจากจีนแดงใช้ 60 รอบ รอบยิ่งเยอะยิ่งใช้พลังงานเยอะและใช้เวลามากด้วยเช่นกัน
และผงกาแฟบดที่ได้นั้นก็ตามภาพเลยครับ
ผลที่ได้คือ เฟืองบด Stainless steel ให้ขนาดของผงกาแฟบดที่ดีและมีขนาดในการบดครั้งเดียวกัน
ได้ใกล้เคียงกันมากที่สุด อีกทั้งยังลื่นและหมุนง่ายกว่ามาก
ส่วนอีกสองยี่ห้อซึ่งเป็นเฟืองบดเซรามิกจะมีความละเอียดของผงกาแฟที่แตกต่างกันอยู่
ทั้งเม็ดใหญ่ เม็ดเล็ก และผงแป้งรวมกันอยู่ แต่สองยี่ห้อที่เป็นเฟืองบดเซรามิกก็ยังมีความแตกต่างกัน
โดยยี่ห้อ FUJIMARU ยังทำได้ดีกว่ายี่ห้อจากจีนแดง
และผมยังใช้ยี่ห้อ Timemore ในการบดขนาดต่างๆ ตัวอย่างในภาพคือ ฝั่งซ้าย 25 จุด
และฝั่งขวา 30 จุด ตัวเครื่องบดก็ยังทำได้ดีมีขนาดของผงกาแฟที่ใกล้เคียงกัน
” สรุปเครื่องบดกาแฟมือหมุนยี่ห้อ Timemore รุ่น Chestnut Slim เป็นเครื่องบดกาแฟมือหมุนที่บดเมล็ดกาแฟ
ออกมาได้ดีมากและที่สำคัญมันประหยัดแรงได้มากกว่าหมุนได้ลื่นมากกว่าขณะใช้งาน
อีกทั้งด้วยขนาดที่มีความเพรียวตามชื่อรุ่น (Slim) ก็ทำให้สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก
ซึ่งเพื่อนๆ คนไหนที่อยากขยับจากเฟืองบดเซรามิก
เป็นเฟืองบด Stainless steel ก็ถือว่ายี่ห้อนี้ทำได้ดีเลยครับ “
ปล. ผมไม่ได้สั่งซื้อจากในไทยนะครับ ผมสั่งซื้อจากเวปไซด์ Timemore โดยตรง + ค่าชิปปิ้งตกอยู่ประมาณ
2 พันปลายๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคลในเรื่องของการรอสินค้าและเรื่องความเสี่ยงของภาษี
แล้วพบกันใหม่ blog หน้านะคับ ขอบคุณครับ
http://www.timemore.com/about-us/?lang=en
สวัสดีค่ะ blog นี้อ๊อฟกลับมาพร้อมกับฮาวทูแก้ปีชง ปี 2561 ซึ่งปีฉลู ปีเกิดอ๊อฟซึ่งตรงกับปีชงพอดี
หลายท่านอาจจะไม่เชื่อในเรื่องปีชง แต่สำหรับอ๊อฟเชื่อไว้ก็ไม่เสียหายเนอะ ทำเพื่อความสบายใจ
แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปีชง มารู้ความหมายของคำว่า “ชง ” กันเลยค่ะ
ปีชง (100%) ได้แก่ ปีนักษัตร มะโรง
หรือคนที่เกิดตรงกับปี พ.ศ. 2471, 2483, 2495, 2507, 2519, 2531, 2543, 2555
ปีชงร่วม ได้แก่ ปีนักษัตร จอ, ฉลู, มะแม
หรือคนที่เกิดปี พ.ศ. 2462, 2465, 2468, 2474, 2477, 2480, 2486, 2489, 2492, 2498, 2501, 2504, 2510, 2513,
2516, 2522, 2525, 2528, 2534, 2537, 2540, 2546, 2549, 2552, 2558
คำว่า ชง ตามภาษาจีนแปลว่า การปะทะ ดังนั้น “ปีชง” จึงหมายถึงปีที่มีการปะทะ โดยความเชื่อเรื่องของปีชง
มีมาจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ของจีน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ องค์เทพไท้ส่วย ที่เรารู้จักกันดีในนาม
“เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา” ซึ่งชาวจีนให้ความสำคัญมาก ไม่ว่าชะตาชีวิตจะดีหรือไม่ดี ชาวจีนจะต้องไหว้
เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา (ไท้ส่วยเอี้ย) เพื่อให้คุ้มครอง หากดวงชะตาชีวิตดีอยู่แล้วก็จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิต
ดียิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าชะตาชีวิตไม่ดีก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา คุ้มครองป้องกันจากอุปสรรค
หรือภัยอันตรายทั้งหลายให้ผ่านพ้นไปด้วยดี
และวัดที่อ๊อฟไปแก้ปีชง นั่นก็คือ วัดเล่งเน่ยยี่ 2 หรือ วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์
ซึ่งตั้งอยู่ที่ ถ. บางกรวย-ไทรน้อย อ. บางบัวทอง จ.นนทบุรี อ๊อฟเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักที่นี่แน่นอน
เข้ามาถึงก็เดินมาทำบุญตรงที่เค้าให้ฝากดวงแก้ปีชง ราคาชุดละ 100 บาทค่ะ
หน้าตาของชุดฝากดวงแก้ปีชงก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ เป็นกระดาษหงิ่งเตี๋ย หรือ กระดาษเงินกระดาษทอง
พร้อมเทียบแดง เขียนชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดค่ะ
ขั้นตอนนี้ก็ทำการเขียนชื่อ-นามสกุล ของตัวเองลงไป พร้อมวันเดินปีเกิดและเวลาเกิด
หากไม่ทราบเวลาเกิดให้เขียนคำว่า ” ดี “ ลงไปแทนค่ะ
ไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิดขั้นตอนนะคะ เพราะทางวัดเค้ามีป้ายบอกวิธีการชัดเจน
หลังจากที่เขียนใบแก้ปีชงเสร็จ เราจะนำไปไหว้และฝากดวงชะตากับเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยกัน
จะใช้ธูปแค่ 3 ดอกจุดธูปเรียบร้อยแล้วเปิดด้านใน แล้วอ่านตามในใบเลยค่ะ อ่านเสร็จก็อธิษฐานด้วยนะคะ
หลังจากนั้น นำชุดไหว้มาปัดตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยปัดออกนอกลำตัว จำนวน 12 ครั้ง
เสร็จแล้วก็นำใบทั้งหมดที่ได้มา ไม่ต้องดึงกระดาษสีแดงด้านในออกนะคะ หยอดลงไปในกล่องแก้ปีชงเลยค่ะ
ภายด้านในยังมีองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ให้ได้กราบไหว้กันค่ะ
กราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตกันเนอะ
หลังจากที่ไหว้เสร็จก็นำธูปไปปักในกระถางให้เรียบร้อยเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการแก้ปีชง
เป็นยังไงคะ ง่ายใช่มั้ยหละขั้นตอนไม่ยุ่งยากเลย เดี๋ยวอ๊อฟจะพาไปทำบุญกันต่อที่ด้านบนค่ะ
วันที่อ๊อฟไปเป็นวันธรรมดา คนเลยไม่ค่อยเยอะ แต่วันที่ไปมีฝนตกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย
แค่ต้องระมัดระวังในการเดินเพราะพื้นกระเบื้องบางจุดมีน้ำขังอาจจะทำให้ลื่นล้มได้ค่ะ
นอกจากมาที่นี่จะได้ทำพิธีแก้ปีชงแล้ว สถานที่ก็ยังสวยงามเหมาะแก่การถ่ายรูปมาก ๆ ถ้ามาที่นี่ห้ามพลาดเลย
ควรเก็บรูปไว้เป็นที่ระลึก เพราะยังมีมุมสวยๆ อีกมากมายค่ะขึ้นมาชั้น 2 ข้างบนจะเป็นพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระประธาน 3 พระองค์ พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า
พระอมิตาภพุทธเจ้า และพระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้าเป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
เดินมาข้างๆ ก็จะมีจุดให้ได้ทำบุญกัน เป็นการทำบุญด้วยเทียนเสริมโชคลาภ ราคา ชุดละ 100 บาทค่ะ
เทียนบูชาองค์พุทธเจ้า เฮงๆ รวยๆ ไปตลอดปีเลย
ในชุดเทียนจะมีเศษเหรียญมาให้หยอดใส่บาตรด้วยค่ะ หยอดให้ครบแล้ว จะเหลือเหรียญไว้ 2 บาท
ให้เก็บกลับบ้านเป็นขวัญถุงเพื่อสิริมงคลของชีวิตค่ะ
หลังจากทำบุญที่ชั้น 2 เสร็จ ยังเหลืออีกหนึ่งชั้น ตรงนี้ก็ถือว่าห้ามพลาดเลยมาแล้วต้องถ่ายรูปสักหน่อย
ชั้นสุดท้ายจะเป็นส่วนของโรงเรียนวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ ด้านในจะมีวิหารที่ประดับไปด้วย
พระพุทธรูปองค์เล็กๆเต็มผนัง เป็นศิลปะที่งดงามมาก มากี่ครั้งก็ประทับใจ
หลังจากไหว้พระทำบุญเสร็จก็ถึงเวลาเดินชมความงดงาม ไม่ต้องไปถึงฮ่องกง
ที่ไทยก็มีวัดสวยๆ ไม่แพ้ประเทศใดเลย
ที่นี่เค้าเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น.
วันจันทร์ ถึง ศุกร์ ปิด 5 โมงเย็น ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เปิดถึง 6 โมงเย็นค่ะ
และนอกจากฮาวทูการแก้ปีชงที่อ๊อฟนำมาฝากแล้ว อ๊อฟยังทำรีวิวลิปสติกสีแดงเสริมดวงมาให้สาวๆ ด้วยค่ะ
ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมดวงแล้ว ยังช่วยเสริมความมั่นใจเปิดรับโชคลาภและรับพลังงานดีๆ
ซึ่งอย่างน้อยผู้หญิงเราควรมีลิปสติกสีแดงติดไว้สักแท่งสองแท่ง และอ๊อฟก็คัดโทนสีแดง
มาให้แล้วว่าเนื้อดี ทาออกมาแล้วสวยปังแน่นอนค่ะ
และแท่งแรกที่อ๊อฟแนะนำเลยคือ LIPSTICK ยี่ห้อ GIRLACTIK MATTE LIP PAINT สี ICONIC ค่ะ
อ๊อฟซื้อมาใน IG ของ Girlactik_thailand ราคา 850 บาทค่ะ
เป็นลิปจิ้มจุ่มสีแดงสดอมส้มเล็กน้อย แต่ทาแล้วขับผิวมาก เนื้อลิปดีงามมากกก
ทาแล้วไม่แห้ง ไม่ตกร่องหรือเป็นคราบเลย ตัวนี้เชียร์สุดพลัง
มาต่อกันที่ลิปจิ้มจุ่ม The Balm Meet Matt(e) Hughes สี Adoring เป็นอีกแบรนด์ที่ชอบมากกก
สีนี้เป็นสีแดงก่ำ เป็นสีแดงเข้มที่สวยมาก แถมมีกลิ่นหอมของมิ้นต์อีกต่างหาก
เม็ดสีแน่น ปาดทีเดียวก็กลบสีปากมิด ไม่แห้งไม่แตก ไม่ตกร่องอีกเช่นเคย ราคา 950 บาทค่ะ
มาต่อกันที่ํ YSL TATOUAGE COUTURE MATTE STAIN 01 Rouge Tatouage สีแดงอมส้ม
เพิ่งรู้ว่าลิปสติกแท่งละ 1,500 บาท มันดีงามขนาดนี้ หัวแปรงคือดีมาก เป็นหัวสีเหลี่ยมเอียงๆ สลัก ysl
ดูหรูหรามาก ปาดทีเดียวสีแจ่มชัดมาก เนื้อลิปเนียนนุ่ม ไม่แมทมากจนเกินไป ทาบางๆ จะเหมือนทาทิ้นต์
ถ้าจะให้แมทสุดๆ ต้องทา 2-3 รอบ ตัวนี้อยากให้ไปลองกันจริงๆ
มาต่อกันที่ลิปสติกจากแบรนด์ Ustar คอลเลคชั่น Minnie Wonderpop Soft Matte Liquid Lip
กันบ้าง ลิปจิ้มจุ่มราคาน่ารัก แท่งละ 199 บาท แต่คุณภาพเกินราคา
เบอร์ 05 Red Wonder เป็นสีแดงสดแบบสดจริงๆ เนื้อลิปเนียนนุ่มมาก เป็นเนื้อแมทท์แบบกำมะหยี่ที่สวยมาก
เม็ดสีแน่น ปาดทีเดียวก็กลบสีปากมิด ติดทนพอสมควร
ต่อมาเป็นแบรนด์ COSLUXE Blooming Whip Lip & Cheek สี Burgundy Daisy
ตัวนี้ทาได้ทั้งแก้มและปาก ตัวนี้เอามาทาแล้วเกลี่ยๆ ด้วยนิ้วมือจะสวยมาก
มันจะได้โทนสีเบอร์กันดี้ ออกแดงตุ่นๆ ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป เป็นแดงโทนอุ่นๆ ที่เกลี่ยออกมาแล้วสวยดีค่ะ
สนนราคาเท่งละ 198 บาท ได้มาตอนลดราคานะคะ ถ้าจำไม่ผิด
ยังมีอีกสีของแบรนด์ Cosluxe ที่ทาออกมาแล้วน่ารักนั่นคือรุ่น Ultra Matte Curve Lipstick สี Blood Thirsty
เป็นลิปสติกเนื้อแมทกำมะหยี่ เนื้อลิปนุ่มชุ่มชื่นทาแล้วปากไม่แห้ง ทาแล้วใช้นิ้วปาดๆ เกลี่ยๆ
แล้วสวยดีค่ะ ราคาแท่งละ 299 บาทค่ะ
สุดท้ายเป็นแบรนด์ D O K สี Chaba 05 เป็นสีแดงโทนสว่างที่ทาออกมาแล้วขับผิวมาก ทาไปช่วงตรุษจีน
มีแต่คนถาม เนื้อลิปดีเกินคาด เม็ดสีแน่นมาก เป็นแดงที่ทาออกมายังไงก็สวย ยิ่งคนผิวขาวนะสวยมากกก
เป็นสีที่คุณเมย์ พิชนาฎทาไปออกอีเวนท์ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ราคาแท่งละ 450 บาท
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ ถ้าถูกใจกดไลค์กดแชร์ให้กำลังใจอ๊อฟด้วยน้าาา แล้วพบกันใหม่ blog หน้าค่ะ
สวัสดีค่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วอ๊อฟแอบหนีไปเที่ยวลำพูนมา ครั้งแรกที่อ๊อฟไปลำพูนเมื่อสองปีที่แล้ว
อ๊อฟไปทำงานกับทาง ทสม. มาค่ะ แต่ครั้งนี้เป็นการมาเที่ยวแบบชาวบ้านๆ มาเรียนรู้วิถีชีวิตของคนยอง
และแหล่งผลิตผ้ามัดย้อมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช่ค่ะ แฟชั่นผ้ามัดย้อมที่เราชอบใส่ไปเที่ยวทะเล
เที่ยวภูเขาที่ลำพูนเค้าเป็นแหล่งผลิตเลย วิธีและขั้นตอนจะเป็นยังไงตามอ๊อฟไปดูเลยค่า
แน่นอนว่ามาเที่ยวทั้งที เราต้องจัดเต็มแอบแต่งตัวให้ตรงธีมนิดหน่อย ผ้าพันคอมัดย้อมที่ซื้อมาจากกรุงเทพ
ผืนนี้ราคา 100 บาท สำหรับอ๊อฟก็คิดว่าธรรมดาไม่แพงอะไร แต่พอมาที่นี่ได้เดินดูได้ชอปปิ้ง ต้องร้องโอ้โห
ดังมาก เพราะราคาที่นี่เค้าเริ่มที่ 30 บาท เสื้อสายเดี่ยว 30-50 บาท เดรสมัดย้อม 80 -150 บาท
ถูกมากกกกกกกกกก ถูกจนต้องควักเงินมาซื้อตุนไว้เผื่อไปเที่ยวทะเล
ที่นี่ชาวบ้านเค้าเป็นคนทำกันเองทั้งหมด ขั้นตอนแต่ละตอนก็แบ่งตามทักษะความชำนาญของแต่ละคน
ตั้งแต่ขับรถผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน เรียกได้ว่าบ้านแทบจะทุกหลังทำผ้ามัดย้อมกันเกือบหมดทั้งหมู่บ้าน
เสื้อผ้าที่นำมาทำมัดย้อมมีตั้งแต่เสื้อสายเดี่ยว เสื้อยืด เดรส ซึ่งทั้งหมดทำมาจากผ้าเมมเบิด
ขั้นตอนแรกจะใช้หนังยางมัดให้เกิดลวดลาย ซึ่งแต่ละลายก็จะมีวิธีการมัดที่แตกต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะลายหัวใจ ลายแมงมุม ที่นี่มีหมด
หลังจากนั้นเอาไปจุ่มสี ที่นี่มีทั้งการย้อมสีครามและสีเคมี นำสีไปต้มแล้วนำผ้าไปจุ่มหรือต้มลงในหม้อ
ต้มผ้าให้สีซึม และขั้นตอนต่อไปคือนำผ้าไปจุ่มน้ำยาฟิกซ์กันสีตกที่เตรียมไว้
ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าซื้อไปแล้วสีจะตกเลย
แน่นอนว่าการมัดลายทำให้เกิดลวดลายสวยงาม ซึ่งขั้นตอนการทำอ๊อฟจะอธิบายไม่ถูกต้องหรือผิดพลาด
ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ มัวแต่นั่งดูคุณย่าคุณยายทำจนเพลิน
พอแกะลายออกมาจะบอกว่ามันสวยมากกกก ยิ่งรู้ว่าราคาไม่แพงยิ่งตกใจไปกันใหญ่
งานฝีมือแบบนี้ต้องทำด้วยความชำนาญจริงๆ
นอกจากจะมีสีครามแล้วยังมีการหยอดสีให้เป็นสีสันสดใส อ๊อฟก็แอบซื้อมาหลายตัวเลย เอาไว้ใส่ไปทะเล
สีสันสดใสแบบนี้ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปอยู่แล้ว ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยเนอะ
ต่อมาก็แวะมาดูการทำเสื้อบาติกย้อมเทียน ซึ่งอันนี้เค้าจะมีแม่พิมพ์ในการปั๊มลายอยู่แล้ว
ลายส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกดอกไม้
โดยทั่วไปกรรมวิธีในการทำผ้าบาติกไม่ซับซ้อนมาก ซึ่งมีหลักการง่าย ๆ แต้มหรือย้อมสี
และลอกเทียนออกจากผ้า เท่านั้นเอง
ซึ่งหลังจากที่ปั๊มลายแล้วก็มีการจุ่มเทียนแล้วมาสะบัดใส่ภาพ เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราใช้แปรงสีฟันดีดสี
ใส่กระดาษในวิชาศิลปะ ซึ่งเทียนจะช่วยเป็นการปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้สีติดนั่นเอง
หลังจากนั้นก็ลอกเทียนออกจากผ้า จะได้ลวดลายตามที่ต้องการ เหมือนเดิมไม่ต้องกลัวสีตกนะคะ
เพราะเค้ามีการฟิกซ์สีไว้เรียบร้อยแล้ว
ชุดที่ได้ออกมาก็จะประมาณนี้ สีสันสดใส ซึ่งที่นี่เค้าทำออเดอร์กันเป็นร้อยเป็นพันส่งจังหวัดอื่นๆ
รวมถึงที่กทม.ด้วย แน่นอนว่าซื้อที่ลำพูนราคาถูกแสนถูก
กลับมาแล้วก็ต้องใส่สักหน่อย ผ้าใส่สบายมากกกก ไปกันเถอะลำพูนเค้ามีของดีให้น่าเที่ยวจริงๆ
และถ้าใครผ่านไปลำพูนช่วงวันที่ 23-25 มีนาคมนี้ เค้ามีงานด้วยนะ ไปกันเยอะๆ นะคะ
**รีวิวนี้เหมาะกับต่างประเทศที่มีอากาศที่เย็นสบายธรรมดาจนไปถึงอากาศหนาวที่ไม่ติดลบมาก
ดังนั้นถ้าติดลบมาก ควรหาเสื้อขนเป็ด หรือเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกว่านี้ค่ะ**
สวัสดีค่ะ เมื่อเดือนธันวาปีที่แล้ว อ๊อฟได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นซึ่งตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี
อากาศหนาวสุดประมาณ – 4 องศา อุ่นสุดก็ประมาณไม่เกิน 10 องศา ต้องบอกก่อนว่าอ๊อฟไม่ชอบอากาศหนาว
เอาซะเลยเลย เพราะอ๊อฟเป็นคนที่ขี้หนาวมากแค่แอร์ 24 องศาก็หนาวแล้ว แค่อาบน้ำออกมาโดนแอร์
ในห้องนอนยังตัวสั่นเป็นลูกนกเลย ดังนั้นเลยจะต้องเตรียมตัวมากกว่าคนอื่น ซึ่งการซื้อเสื้อผ้าแต่ละที
ก็ใช้เงินไม่น้อยวันนี้อ๊อฟเลยจะมาแนะนำว่าอะไรที่ควรมี อะไรที่ต้องซื้อใส่ไปผจญความหนาว
โดยใช้งบไม่เยอะ แต่ใส่แล้วออกมาสวยไม่อ้วนตุ๊ต๊ะเป็นหมี
(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)
1. เสื้อ Heattech แน่นอนสิ่งแรกที่เราต้องมีไม่มีไม่ได้ อ๊อฟเลือกใส่ยี่ห้อ ของ Uniqlo
Heattech รุ่น Extra warm ราคาตอนนี้น่าจะ 590 บาท เป็นฮีทเทคบางๆไม่หนามาก
อ๊อฟซื้อใส่แค่ตัวเดียวค่ะ แต่ถ้าใครหนาวจะใส่ซ้อนกันสองสามชั้นก็ได้
เสื้อฮีทเทคจะช่วยกักเก็บความอุ่นของร่างกาย
เมื่อข้างในตัวอุ่นก็ใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ตอนนี้เค้ามีรุ่น Ultra warm ออกมา
ซึ่งเหมาะกับคนที่ขี้หนาวเป็นพิเศษ ใครหนาวมากจัดตัวนี้ไปเลย
เคล็ดลับควรใส่ไซส์ให้พอดีกับตัว ไม่ควรเลือกไซส์ใหญ่กว่า ยิ่งแนบลำตัวมากเท่าไหร่ยิ่งอุ่นเท่านั้น
(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)
2. เสื้อไหมพรมหรือสเวตเตอร์ เราจะใส่ทับฮีทเทคค่ะ เลือกแบบทอลายแน่นๆ หน่อย ยิ่งแน่นยิ่งทำให้ลม
ผ่านเข้าไปยากและแบบที่ควรเลือกคือคอปีนหรือคอเต่า แต่อ๊อฟเลือกเสื้อฮีทเทคฟรีซของยูนิโคล่มาค่ะ
ในรูปจะเห็นว่าอ๊อฟใส่ฮีทเทคฟลีชสีขาว ซึ่งอ๊อฟคิดว่ามันดีกว่าเสื้อไหมพรมเพราะมันสามารถกันลม
และกันอากาศหนาวได้ระดับนึงเลยทีเดียวค่ะ อ๊อฟเลือกสีขาวกับดำมาใส่สลับกันไป
ราคาตัวละประมาณ 290 บาท ถือว่าไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับซื้อพวกเสื้อไหมพรมแบบแฟชั่น
3. กางเกงสกินนี่กันหนาว อ๊อฟซื้อของแบรนด์ coatover ค่ะ ซึ่งเป็นผ้ายืดใส่สบายมาก
คุณสมบัติเค้าบอกมาว่าใส่ได้ถึงอุณหภูมิติดลบ 10 องศา อ๊อฟซื้อมาหลายปีแล้ว
เลือกสีดำมากับสีขาวเพราะใส่เข้าง่ายกับทุกชุด mix & match ใส่ไปได้ตลอด
ใส่ไปเกาหลีตอนติดลบเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ยังเอาอยู่ แค่อย่าให้อ้วนกว่าเดิมก็พอ 555
ราคาแรงไปนิดแต่ลงทุนครั้งแรกแล้วก็ควรเก็บรักษาดีๆ ค่ะ อ๊อฟซื้อมา 1,190 บาท
ส่วนใครไม่ชอบใส่พวกสกินนี่กลัวจะอุ่นไม่พอ ใส่กางเกงฮีทเทคแทนก็ได้เหมือนกันค่ะ
4. รองเท้าบูทยาว อ๊อฟเลือกซื้อแบรนด์ Coatover ที่อ๊อฟเลือกแบบยาวถึงเข่ามา
เพราะมันจะช่วยกันลมกันอากาศเย็นได้อีกทางหนึ่ง ทำให้หน้าขาอุ่น แต่ถ้ามีงบซื้อเป็นบูทหนังที่กันหิมะ
ได้จะดีกว่าค่ะ นอกจากจะเดินสบายไม่ต้องกลัวลื่นแล้ว ยังไม่ต้องกลัวว่าเวลาหิมะละลายหรืออากศชื้นๆ
จะเปียกหรือซึมเข้าไปข้างในรองเท้า ส่วนของอ๊อฟเลือกเป็นแบบผ้าเพราะอ๊อฟไม่ได้ไปลุยหิมะ
ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ารองเท้าจะเปียกค่ะ ขอแค่เท้าอุ่น ใส่เดินสบายไม่เมื่อยก็พอ
และยี่ห้อที่เลือกมาก็เป็นแบบมีส้นเพราะเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เล็กนะคะ
ไม่ใช่เตี้ย 555 ดังนั้นใส่บูทมีส้นจะช่วยให้ดูสูงเพรียวมากขึ้น แนะนำแบบส้นเตารีด
จะใส่เดินได้สะดวกสบาย อ๊อฟซื้อมา 2-3 ปีที่แล้ว ราคา 1,590 บาท
ใส่เดินทั้งทริปก็ยังไม่เจ็บขา อาจจะมีเมื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง
5. เสื้อโค้ท เมื่อตอนไปต่างประเทศครั้งแรกอ๊อฟซื้อพวกเสื้อโค้ทวูลมา 4-5 ตัว
แบบใส่ไม่ซ้ำกันทุกวัน ราคาก็แน่นอยู่ ตัวละสองพันกว่า พันกว่าๆก็มี แต่ไม่เคยต่ำกว่าพันเลย
ซื้อหมดทีก็เป็นหมื่นเอามาขายก็ได้ราคาน้อยไม่คุ้มกันอีก ดังนั้นมาคิดดูแล้ว อ๊อฟเลยเลือกจะซื้อ
มือสองเอาค่ะ ตัวนึงไม่เกิน 500 บาท บางตัวอ๊อฟซื้อมา 300 ก็มี ใส่เสร็จขายต่อในไอจีได้อีก
เอาเงินไปซื้อตัวใหม่ใส่ทริปต่อไป เพราะอ๊อฟไม่ค่อยใส่เสื้อผ้าซ้ำ เวลาถ่ายรูปจะได้ออกมาสวยเนอะ
และที่อ๊อฟใส่อยู่ทั้งทริปก็เป็นโค้ทมือสองทั้งนั้นเลยค่ะ แหล่งซื้ออ๊อฟจะซื้อในไอจีค่ะ
เพราะเป็นคนซื้อเสื้อผ้าทางอินเตอร์เนตบ่อยมาก แต่ถ้าใครกลัวจะใส่ไม่ได้อ๊อฟแนะนำว่าไปซื้อ
ที่ธัญญาพาร์คศรีนครินทร์เลยค่ะ ตรงชั้นที่ทำ passport ลงมาจะมีร้านขายเสื้อกันหนาว
อุปกรณ์กันหนาวมือหนึ่งมือสองสภาพดีเยอะมาก ราคาไม่แพงอีกด้วย
อ๊อฟไปดูแล้วบางตัวนี่ยังใหม่เลย ทำความสะอาดเรียบร้อย ซื้อมือสองยังคุ้มกว่าเช่าอีก
เพราะคำนวณแล้วถ้าเช่าแบบสวยๆ อ๊อฟเคยหาข้อมูลเช็คราคาตัวนึงก็ปาไป 1,000 บาทแล้ว
5 ตัว ก็ 5,000 บาทแหนะ อ๊อฟเลยคิดว่าซื้อมือสองคุ้มกว่าค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคนที่รับได้ด้วยนะคะ
บางคนอาจจะไม่ชอบใส่เสื้อผ้ามือสอง ส่วนอ๊อฟเลือกเป็นบางอย่างค่ะ ไม่ค่อยถือ
(เครดิตรูปภาพจากกูเกิ้ล)
6. ถุงทรายร้อน อันนี้คือดีมาก อ๊อฟใช้ขยำในกระเป๋าเสื้อโค้ทแทบตลอดเวลา มันช่วยได้มากจริงๆ
ตอนที่เรายกมือออกมาถ่ายรูป มือนี่แข็งกดชัตเตอร์แทบไม่ลง นึกว่ามือหายไปแล้ว
ถุงทรายร้อนแบบนี้ช่วยได้มาก ถ้าหนาวตรงไหนก็หยิบขึ้นมาอังจะช่วยให้รู้สึกอุ่นได้ ถุงนึงอยู่ได้ตั้งหลายชม.
ราคาต่อถุง ถุงละ 30 บาทไทย อ๊อฟไปซื้อที่โน่นเอาค่ะ บางคนถามว่าแผ่นแปะๆ ที่ขายตาม 7 ช่วยได้มั้ย
สำหรับอ๊อฟ อ๊อฟว่าแทบไม่ได้ใช้เลย เพราะ ในตัวเรามันอุ่นอยู่แล้วจากเสื้อผ้าที่เราใส่มา
จะมีแต่พวกตรงศีรษะ หู จมูก แขน ขา เท้า เท่านั้นที่เวลาลมปะทะมายังคงเย็นอยู่
(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)
7. ถุงเท้าฮีทเทค สำหรับอ๊อฟคิดว่าสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้อุ่นแล้ว ยังไม่เก็บเหงื่ออีกด้วย
ไม่ชื้น ไม่เหม็น ซื้อคู่เดียวใส่ไปทั้งทริปเลย 555 (อย่าบอกใครไปเนอะ)
8. หมวก ที่ปิดหู ถุงมือ หน้ากาก ผ้าพันคอ อันนี้ก็สำคัญค่ะ ควรมีติดไว้เอาไว้
ตอนอ๊อฟไปเดินดูไฟตอนกลางคืน ทรมานมาก ตัวมันอุ่นแต่หนาวหน้ามาก หน้าชาไปหมด
แค่ถอดออกมาถ่ายรูป จมูกยังแดง ตาฉ่ำไปหมด ยิ่งเวลาลมปะทะมานะ อยากตะโกนดังๆ ว่า ไม่ไหวแล้วโว๊ยยย
ส่วนใครที่ไม่มีหน้ากากหรือผ้าปิดจมูกจริงๆ ก็เอาผ้าพันคอนี่แหละมาพันคอให้ปิดไปถึงปากหรือจมูกก็ได้ค่ะ
ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แถมยังพันได้หลายแบบอีกด้วย หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์แก่สาวๆ ไม่มากก็น้อย
แล้วพบกันใหม่ blog หน้าน้าาาา
มาค่ะ วันนี้อ๊อฟจะพาไปเที่ยว กิน ชอปกับเทศกาลอาหาร ของกินริมน้ำ ที่ทางเซ็นทรัลชิดลม
เค้าจัดงานออกมาได้ถึงความเ ป็นไทย แถมภายในงานยังรวบรวมเอาร้า นเด็ดร้านดังคัดเอามาไว้ที่ นี่ด้วย
ซึ่งงานนี้เซ็นทรัลชิดลมเค้ าจับมือกับตลาดดีไซน์ ที่รวบรวมเอาอาหารจากทุกภาค กว่า 200 ร้าน
และยังมีสินค้าสไตล์ไทยๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือเค รื่องประดับอีกมากมาย นอกจากนั้นยังมี
หนังกลางแปลงมาให้ดูอีกด้วย ฉายวันละ 3 เรื่องเชียวน้าาา และยังมีการแสดงแบบไทยๆ
หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ตั้งแต่เมื่อวานถึงวันที่ 4 กุมภานี้เท่านั้น
ตั้งแต่เวลา 11:00 – 21:00 ณ ลานมรกต เซ็นทรัลชิดลม
สวัสดีค่ะ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอ๊อฟมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนร้านกาแฟของพี่ส้ม Beautybyorangina
Beauty Blogger คนสวยนั่นเองซึ่งวันนี้ไม่ได้จะมารีวิวกาแฟเพราะเป็นคนไม่ทานกาแฟ ใครที่เป็นคอกาแฟ
หรือชื่นชอบกาแฟดอยช้างน่าจะบอกได้ดีกว่าอ๊อฟค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวบรรยากาศซึ่งน่านั่งมากกกก
อยากรู้ว่าเป็นยังไงตามอ๊อฟเข้ามาเลยค่ะ
บรรยากาศภายในร้านตกแต่งสวยงาม ดูอบอุ่นมีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ ตั้งหลายรูป
ส่วนเมนูก็มีมากมายเลยค่ะ ไม่ได้มีเฉพาะแต่ชากาแฟนะคะพวกอิตาเลี่ยนโซดาก็มีค่ะ
วันนี้อ๊อฟเลือกทานชาพีชหอมๆ เย็นๆ กับเค้กชิ้นนึง จิ้มๆ ไปแต่ปรากฎว่าอร่อยมาก
มีหลายชั้นด้านบนเหมือนโรยด้วยผงโอวันติล อาหย่อยชอบๆ
ก็บอกแล้วว่ามุมถ่ายรูปเยอะเนาะ จะหยิบหนังสือมาอ่านที่นี่เค้ากมีให้อ่านนะคะเพลินๆ
ชอบตรงยังมีโทนสีเขียวให้รู้สึกสบายตาน่านั่ง ไม่ได้ดูเข้มอย่างเดียว
ที่นี่เค้ามีบริการ wifi ฟรีด้วยจะมานั่งเล่น นั่งทำงาน ทานขนมก็สะดวกสบาย
ในร้านไม่เล็กนะคะ โล่งๆ โปร่งสบายน่านั่ง
ใครที่อยู่แถวมีนบุรี หรือสุขา 3 ที่ชอบทานกาแฟก็แวะเวียนมาได้นะคะอยู่ในซอยรามคำแหง 185
หรือตรงซอยตลาดน้ำขวัญเรียมไม่ได้เป็นหน้าม้าเนาะ แค่ชอบสถานที่เพราะมันบรรยากาศดี วิวสวย
น่านั่งเลยเอามาแชร์กันนะจ๊ะ
สวัสดีค่ะ พักจากเรื่องสวยๆ งามมากันที่ของอร่อยๆ ราคาน่ารักที่สำคัญสาวๆ จะต้องถูกใจเพราะมาที่นี่
เหมือนเราเข้ามาสู่ดินแดนของแม่มด อาหารอร่อย ที่สำคัญเค้กต่างๆ ไม่มีหลุดคอนเซปท์แม่มดเลย
ที่สำคัญมีพรอพให้แต่งตัวถ่ายรูปเล่นอีกด้วยและวันนี้ที่อ๊อฟจะพาสาวๆ มาคาเฟ่แม่มดสุดชิควันนี้
นั่นก็คือร้าน KAETHY THE WITCH เคธี เดอะ วิธช์
บรรยากาศภายในร้านตกแต่งไปด้วยของต่างๆ ที่เรารู้จักกันดีในโลกของแม่มด
เรียกได้ว่าเข้ามาปุ๊ปประหนึ่งว่าเป็นแม่มดปั๊ป
และไฮไลท์ของวันนี้ดูหนังแฮรี่พอตเตอร์มาก่อนนานไม่เคยลองทานบัตเตอร์เบียร์สักที
วันนี้ทางร้านเค้ามีขายแล้วนะButter Beer กลิ่นหอมนุ่มละมุนลิ้น หวานอมเปรี้ยว มีความซ่า
บรรยายไม่ถูกอยากให้มาลองกันทุกคนเลย
และไม่ต้องกลัวว่ามาทานที่นี่จะไม่มีข้าวทาน เพราะที่นี่นอกจากของหวานแล้ว ของคาวอาหารอร่อยเค้าก็มีนะเออ
ซี่โครงหมูอบทานกับข้าวสวยร้อนๆ โรยพริกน้ำปลารับรองว่าฟิน
หรือใครชอบทานแซนวิชที่นี่เค้าก็มีเหมือนกัน
มาต่อกันนี่ขนมดีกว่า คัพเค้กแมงมุม Charlotte The Poison Spider คัพเค้กชอคโกแลตแมงมุมชาลอต
อร่อยมากกกกกกกก
ใครชอบทานชอคโกแลตหรือเป็น Chocolate Lover ต้องนี่เลย เค้กกระถางต้นไม้ ออริจินัล รสช็อกโกแลต
ด้วยความครีเอทเราสามารถสนุกสนานไปกับการพรวนเค้กในกระถาง ที่สำคัญแต่ละชั้นก็จะมีเทกเจอร์ต่างกันไป
มาต่อกันที่ No Pain – No Gain Strawberry Blood Velvet Cake with Sugar mirror cracked
เนื้อเค้กหวานอมเปรี้ยวมีเทกเจอร์ของน้ำตาลที่ทำมาเป็นเศษกระจกให้เคี้ยวแบบกรุบกรอบ
รับรองทานไปไม่บาดปากแต่บาดใจ
มาต่อกันที่เครปเค้กสตรอเบอรี่ เนื้อเค้กเนียนละมุนมากหอมกลิ่นวานิลลา
ราดด้วยซอสสตรอเบอรี่สูตรเฉพาะของทางร้าน…ฟินนนนนน
หลังจากทานอิ่มแล้วก็มาถ่ายรูปเล่นกันดีกว่า ที่นี่มีพรอพน่ารักๆ และมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้ถ่ายรูปเล่น
รับรองว่าไม่เหมือนใคร
ได้เวลากลับบ้านกริฟฟินดอร์แล้ว วันนี้ต้องขอลาไปก่อนนะคะ ใครสนใจอยากจะไปทานเค้กอร่อยๆ
บรรยากาศดีๆ ตามไปที่แผนที่ข้างล่างเลยค่า
สวัสดีค่ะวันนี้อ๊อฟจะมาแนะนำสถานที่ถ่ายรูปแบบน่ารักฟรุ้งฟริ้งสีชมพูที่ตอนนี้เข้าสู่หน้าร้อน
แบบร้อนแบบสุดๆและดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ก็กำลังบานสะพรั่ง แต่ แต่ แต่ มันกำลังจะหมดไปในไม่ช้า
สถานที่ที่อ๊อฟกำลังพูดถึงก็คือสวนวชิรเบญจทัศหรือ”สวนรถไฟ”นั่นเอง
ชมพูพันธุ์ทิพย์ (อังกฤษ: Pinktrumpettree ชื่อวิทยาศาสตร์: Tabebuiarosea) เป็นพืชในวงศ์แคหาง
ค่าง (Bignoniaceae) มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เป็นต้นไม้ประจำชาติเอลซัลวาดอร์
หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์บริพัตรเป็นผู้นำเข้ามาปลูกในประเทศไทย เมื่อค.ศ.1957(พ.ศ.2500)
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียนะคะ
ตอนที่อ๊อฟไปเมื่อวานก็ยังมีอยู่พอสมควรนะคะมีมุมให้ถ่ายรูปอยู่หลายจุดซึ่งรอบๆนอกตามทางปั่น
จักรยานจะไม่ค่อยมีเท่าไหร่แต่ถ้าเดินเข้ามาไม่ไกลดอกชมพูพันธุ์ทิพย์จะมีให้เห็นประปราย
บางต้นก็ดอกสีชมพูอ่อนบางต้นก็สีชมพูเข้มปะปนกันไป
ไฮไลท์ยอดฮิตคือพรมชมพูพันธุ์ทิพย์นั่นเองดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่มันร่วงลงมา
ดูคล้ายพรมดอกไม้เลยสวยงามมากกกกก
คนที่มาถ่ายรูปก็มาถ่ายตามมุมยอดฮิตซึ่งเราจะเห็นสาวๆแต่ละคนแต่งตัวกันน่ารักๆเพื่อมาถ่ายรูป
มุมน่ารักๆ มีเยอะพอสมควร
สำหรับวันนี้ที่อ๊อฟจะไปถ่ายรูปเล่นบอกเลยเตรียมพร้อมมากโบกกันแดดไปกระหน่ำ เพราะแดดแรงมากกก
กกก.ไก่ล้านตัวแต่อยากจะได้รูปสวยเราต้องยอมไปยืนตากแดด
ป.ล.กันแดดหน้าที่อ๊ํอฟใช้ mizumi หลอดฟ้า โบกมันแทบทุก 2 ชม.กันแดดตัวใช้ bananaboat
สำหรับใครที่ยังลังเลไม่รู้จะไปไหนไปถ่ายรูปเล่นที่สวนรถไฟก็เป็นอีกทางเลือกนึง
เพราะถึงตอนนี้ดอกมันจะร่วงไปบ้างแล้วแต่มันก็ยังสวยอยู่
ตอนอ๊อฟปั่นเข้ามานึกเสียดายอยู่ในใจว่าถ้ามาเร็วกว่านี้ตอนที่มันบานชุดแรก บานพร้อมกันคงจะสวยมาก
แต่ไม่เป็นไรแค่นี้ก็มีมุมให้ถ่ายรูปมากอยู่
ป.ล.ที่1 อย่าลืมพกครีมกันแดดไปเวลาที่จะถ่ายรูปเพราะแดดแรงมากกกกกอย่าลืมทาซ้ำทุก 2ชม.
เพราะแดดมันแรงจริงๆ แดดร้อนจนขนลุกซู่
ป.ล.ที่2 อย่าลืมพกร่มหรือเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวมาใส่คลุมก่อนเดินไปถ่ายรูปหรือจะใส่ถ่ายรูปให้ได้ฟิวอากาศหนาว
จะไหมพรมคอเต่าก็ขนกันมาได้ตามอัธยาศัย แต่ถ้าจะใส่เกาะอกสายเดี่ยวมาถ่ายก็ไม่ว่ากัน
แต่เราเตือนแล้วว่าแดดมันแรงมาก ฮือออออ
ป.ล.ที่3อย่าคาดหวังว่าถ่ายแล้วภาพมันจะออกมาสวยมากแบบชมพูเป็นชมพูสดๆหรือชมพูแบบมุ้งมิ้งเพราะถ่าย
เสร็จแล้วต้องมีการ processหรือตกแต่งภาพอีกทีแต่ไม่ใช่ว่าของจริงไม่สวยนะของจริงก็สวยแต่เพื่อความ
สวยงามมากขึ้นจะใส่ฟิลเตอร์จะแต่งในไลท์รูมก็ว่ากันไปรูปที่ได้ก็ตามสไตล์ใครสไตล์มัน
สำหรับวันนี้ต้องลากันไปก่อนเที่ยวสงกรานต์กันให้สนุกนะคะ
ส่วนใครที่เดินทางกลับบ้านก็ขอให้เดินทางกันปลอดภัยเที่ยวให้สนุกค่าาาา
สวัสดีค่ะ วันหยุดที่ผ่านมานี้อ๊อฟแอบหนีเที่ยวมาค่ะ แต่หนีไปไม่ไกลมากมาแค่หัวหินนี่เอง ขับรถแป๊ปๆ
ก็มาถึงแล้ว ทริปนี้ตั้งใจจะไม่ออกไปไหนจะนอนตีพุง เดินเล่นชิวๆ ว่ายน้ำสวยๆ และกินซีฟู๊ดอยู่ที่บ้าน
วันนี้เลยจะมารีวิวที่พักที่อ๊อฟไปพักมาค่ะ นั่นก็คือ sheraton hua hin blue lagoon จุดเด่นของที่นี่
คือสระว่ายน้ำยาวถึง 2 กิโลเมตรเลยทีเดียว สระว่ายน้ำยาวไปจนรอบโครงการประมาณว่าเดินออกจากบ้าน
ก็ก้าวลงสระได้เลย วันนี้อ๊อฟมาเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวค่ะ
ซึ่งที่นี่ก็เหมาะมาก จริงๆ แล้วเหมาะสำหรับมากันครอบครัวใหญ่ๆ หรือพาเพื่อนฝูงมา outing
นอนเล่นโดดน้ำกันชิวๆ มาที่นี่รถหลายคันก็จอดได้ค่ะ ที่จอดค่อนข้างส่วนตัว ไม่ต้องกลัวปัญหาจุกจิก
จากเรื่องการจอดรถเลยที่อ๊อฟพักคือหลังนี้ค่ะ Villa 2 เป็นบ้านที่มี 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ
พาเข้ามารอบบริเวณบ้านจะบอกว่าวิวที่นี่ดีงามมาก เห็นแต่ท้องฟ้า ต้นไม้สระน้ำ อากาศก็ดีน้ำก็ใสน่าดำผุดดำว่าย
ตัวบ้านที่อ๊อฟอยู่รอบบ้านมีที่ให้เดิน มีสวนให้นั่งเล่น จะทำบาร์บีคิว ดีดดีต้าร์ฟังเพลงชิวๆ ก็ทำได้หมด
เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้าง
สะดวกสบายจะนอนอ่านหนังสือหรืองีบสักหน่อยก็เป็นไอเดียที่ดีเลยที่เดียว
เพราะบอกแล้วว่าทริปนี้เราจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น
อยากจะจิบไวน์แช่จากุชชี่ที่นี่เค้าก็มีนะ หลังอื่นมีมั้ยไม่รู้ แต่เดินๆ ดูในโครงการก็ไม่เห็นมีนะ เอ้า…เกทับซะเลย
พาเข้ามาในตัวบ้านกันบ้าง ที่นี่เค้าจุคนได้เยอะมาถึง 10 คนก็ยังชิว ห้องโถงโปร่งโล่งสบายมาก
แยกสัดส่่วนชัดเจน มีโต๊ะทานข้าวขนาดใหญ่ให้เฮฮาปาร์ตี้ได้เต็มที่
การตกแต่งที่นี่ต้องบอกเลยว่าเหมือนอยู่บ้านเราเองแหละ
ไม่อยากออกไปไหนอยากนอนทิ้งตัวนอนกลิ้งเล่นมันทั้งวัน
อยากจะทำอาหารที่นี่เค้าก็มีครัวให้ ข้างนอกมีเตาบาร์บีคิวให้ปิ้งย่าง ส่วนในบ้านก็มีครัวไว้ทำอาหาร แนะนำว่าก่อนเข้ามาแวะซื้อของกินมาแช่กันเต็มที่ไม่ว่าจะขนมนมเนย น้ำอัดลม เบียร์เย็นๆ รับรองจะฟินมาก
ขึ้นมาดูข้างบนกันบ้านที่นี่เค้ามี 3 ห้องนอน เลือกเอาจะเตียงเดี่ยว เตียงคู่ที่นอนเสริมที่นี่เค้าก็มีให้หมด
ผ้านวมไม่พอหรอ หมอนน้อยไป
ไม่ต้องห่วงที่นี่เค้ามีให้หมด มาแต่ตัวกะเสื้อผ้าพร้อมของกินก็พอ แถมห้องนี้ยังมีระเบียงออกไปนั่งรับลมชิวๆ ได้
ห้องถัดมาเป็นเตียงเดี่ยวจะแยกกันนอนก็ได้ไม่ว่ากัน ชอบห้องไหนก็เลือกเอาเลยเนอะ เอาที่ชอบเลย
ชั้นสองยังมีที่พักนั่งเล่นนั่งคุยกันอีกด้วย พื้นที่ใช้สอยของที่นี่ๆ น่าใช้จริงๆ
3 ห้องนอนสำหรับครอบครัวขนาดกลางไปจนถึงใหญ่มากนี่อ๊อฟว่าโอเคเลย มานอนรวมตัวกันยังได้
แอร์ที่นี่ก็เย็นสบายจะเดินไปนั่งไปนอนมุมไหนก็เย็นไปหมด ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดมาก็แค่จะบอกว่ามันดีมาก
เป็นทริปที่ได้พักผ่อนได้โดดน้ำ ได้กินอาหารอร่อย สำหรับคนที่สนใจอยากจะมาพักแบบอ๊อฟ
และชอบทำผมอยู่แล้วนี่เลย